วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สัญญายืมใช้คงรูป

สัญญายืมใช้คงรูป


ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๖๔๐ได้นิยามการยืมใช้คงรูปไว้ว่าคือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ยืม ได้ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อใช้สอยเสร็จแล้ว และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๔๑ ได้บัญญัติต่อไปว่าการให้ยืมใช้คงรูปนั้นบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม[1] 

หลักเกณฑ์ของการยืมใช้คงรูป ( มาตรา ๖๔๐ และ ๖๔๑ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ) 
๑. เป็นสัญญา คือเกิดจากการตกลงกันของบุคคลสองฝ่าย ซึ่งฝ่ายหนึ่ง คือ ผู้ให้ยืม และอีกฝ่ายหนึ่งคือ ผู้ยืม
๒. ผู้ให้ยืมตกลงยินยอมให้ผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมได้เปล่า คือ ผู้ให้ยืมจะไม่เรียกค่าตอบแทนอันเกิดจากการได้ใช้ทรัพย์ที่ยืมจากผู้ยืมแต่อย่างใด หากมีการเรียกค่าตอบแทนจากการใช้สอยย่อมจะกลายเป็นสัญญาอื่น เช่น สัญญาเช่า จากหลักเกณฑ์นี้ทำให้เห็นได้ว่าผู้ให้ยืมย่อมจะไว้วางใจว่าผู้ยืมจะไม่ทำให้ทรัพย์ที่ยืมสูญหายหรือบุบสลาย
๓. ผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว โดยผู้ยืมต้องตกลงที่จะคืนทรัพย์สินอันเดียวกับที่ยืมเป็นสำคัญ ดังนี้หากเป็นอสังกมทรัพย์คือเป็นทรัพย์ที่ไม่อาจจะนำเอาทรัพย์อื่นที่เป็นประเภท ชนิด และปริมาณเดียวกันมาทดแทนได้ย่อมเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูป
๔. ผู้ให้ยืมต้องส่งมอบทรัพย์ที่ให้ยืมแก่ผู้ยืม อันเป็นการทำให้การยืมใช้คงรูปมีความบริบูรณ์ อันมีผลเป็นการก่อให้เกิดหนี้ที่สำคัญแก่ฝ่ายผู้ยืม คือจะต้องคืนทรัพย์ที่ยืมให้แก่ผู้ยืมเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว 

ลักษณะเฉพาะแห่งสัญญายืมใช้คงรูป 
๑.เป็นสัญญาที่ไม่มีค่าตอบแทน  กล่าวคือ เป็นการให้ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมได้เปล่า  ถ้ามีการชำระสิ่งตอบแทนก็ไม่เรียกสัญญายืม การได้ใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมจะต้องไม่เสียค่าตอบแทนแต่อย่างใด และด้วยเหตุนี้ทำให้สัญญายืมใช้คงรูปจึงเป็นสัญญาที่ถือเอาตัวผู้ยืมเป็นสาระสำคัญแห่งสัญญา กล่าวโดยเฉพาะคือ ผู้ให้ยืมต้องมีความมั่นใจในตัวผู้ยืมว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การไว้วางใจต่อการใช้สอยทรัพย์ที่ยืมนั้น และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวผู้ยืมเป็นการเฉพาะ ซึ่งหลักนี้ปรากฏอยู่ในมาตรา ๖๔๓,๖๔๘ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งผลแห่งการทำให้สิทธิในการใช้สอยทรัพย์ที่ยืมนั้นไม่ตกทอดไปสู่ทายาท
๒. เป็นสัญญาที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในวัตถุแห่งสัญญา การส่งมอบทรัพย์ที่ยืมนั้นเป็นเพียงการส่งมอบการครอบครองเท่านั้น ส่วนกรรมสิทธิ์ยังคงอยู่กับผู้เป็นเจ้าของซึ่งโดยปกติย่อมได้แก่ผู้ให้ยืม ผู้ยืมจึงมิอาจใช้สอยทรัพย์ที่ยืมเหมือนอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่จะอยู่ในฐานะผู้ครอบครองสามารถใช้สอยทรัพย์สินได้ทันที และมีสิทธิใช้สอยตามสัญญาเท่านั้น เมื่อการยืมไม่ใช่สัญญาโอนกรรมสิทธิ์ผู้ให้ยืมไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ก็ได้               

ผลแห่งการเป็นสัญญาที่ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ คือ               
๑.คู่สัญญาฝ่ายผู้ให้ยืมในสัญญายืมใช้คงรูปอาจไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมก็ได้ สัญญายืมก็สมบูรณ์บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญา กล่าวคือ หากถึงกำหนดเวลาคืนแล้วผู้ยืมไม่คืน ผู้ให้ยืมก็สามารถบังคับให้คืนได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ยืมก็ตาม อย่างไรก็ตามในกรณีที่เองทรัพย์ไม่ยินยอม เจ้าของก็สามารถติดตามเอาทรัพย์คืนได้ และในกรณีนี้ผู้ยืมก็ไม่อาจเรียกร้องให้ผู้ให้ยืมรับผิดได้ เพราะสัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน ซึ่งก่อหนี้แก่ฝ่ายผู้ยืมเพียงฝ่ายเดียว                 
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๔๕/๓๘๐๙  จำเลยยืมรถยนต์ของโจทก์ไปตามโคที่หาย โดยเอานายต๊ะไปขับรถ เพราะคนขับรถของโจทก์ไม่อยู่ ขณะที่รถแล่นไปตามถนนมิตรภาพตามปกติทางด้านซ้าย ด้วยความเร็วสูง ๓๐ - ๔๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็มีรถโดยสารชนข้างท้าย รถโจทก์พลิกคว่ำตกข้างทาง เหตุที่เกิดขึ้นเพราะคนขับรถโดยสารซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ไม่ใช่เกิดเพราะความผิดของจำเลย จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รถ การยืมใช้คงรูปนั้นผู้ยืมต้องคืนทรัพย์ในสภาพเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๔๐ ก็จริง แต่นั่นเป็นบทบัญญัติทั่วไป ในเรื่องที่เป็นไปตามปกติ ยิ่งกว่านั้นยังได้มีบทบัญญัติไว้อีกว่า หากผู้ยืมนำไปใช้การอย่างอื่นผิดปกติ หรือให้คนภายนอกใช้ ผู้ยืมต้องรับผิดในอันตรายเสียหาย แม้ในเหตุสุดวิสัยตาม มาตรา ๖๔๓ และได้บัญญัติหน้าที่ของผู้ยืมไว้ตามมาตรา๖๔๔ว่า ผู้ยืมมีหน้าที่สงวนทรัพย์สิน เช่น วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตน หากกระทำเช่นนี้แล้วเกิดอันตรายเสียหายขึ้น ก็ต้องนำบทบัญญัติเรื่องการชำระหนี้อันเป็นหลักทั่วไปมาวินิจฉัย โดยเหตุนี้เมื่อปรากฏว่า จำเลยผู้ยืมมิได้มีส่วนในการกระทำให้เกิดอันตรายเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ จำเลยใช้ตามปกติดังวิญญูชนพึงกระทำแล้ว จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๙                     
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๕๑ /๒๕๒๕  โจทก์ในคดีนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของรถที่ถูกชน เพราะโจทก์เป็นแต่เพียงผู้ยืมเท่านั้น ในการยืมใช้คงรูปนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๔๓ ได้บัญญัติให้ผู้ยืมต้องรับผิดต่อ ผู้ให้ยืมเฉพาะแต่ในกรณีผู้ยืมเอาทรัพย์ที่ยืมไปใช้การอย่างอื่น นอกจากการอันเป็นปกติ แก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ ซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฏเหตุดังกล่าวเลย และการที่รถที่โจทก์ ขับได้รับความเสียหาย ก็มิใช่เป็นเพราะความผิดของโจทก์หากแต่เป็นความผิดของบุคคลภายนอก ฉะนั้นโจทก์ในฐานะผู้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าของทรัพย์ และแม้ว่าโจทก์จะได้ซ่อม รถคันที่โจทก์ยืมมาไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม โจทก์ไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิของเจ้าของรถที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้
๒.ในกรณีที่ทรัพย์ที่ยืมเกิดการสูญหายหรือบุบสลายอันเป็นผลมาจากการกระทำของบุคคลภายนอก ผู้ยืมจะไม่อยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องให้มีการชดใช้ราคาทรัพย์ หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายดังกล่าวได้ในนามของตนเองเลย เพราะผู้ยืมไม่ใช่เจ้าของทรัพย์แต่อย่างใด               
๓.ถ้าเกิดความวินาศแห่งทรัพย์ที่ยืม โดยมิใช่เป็นเพราะความผิดของผู้ยืมแล้ว ผู้ยืมย่อมหลุดพ้นความรับผิดอย่างสิ้นเชิง ตามหลักความวินาศแห่งทรัพย์ย่อมตกแก่ผู้เป็นเจ้าของ ( ตกเป็นพับแก่ผู้ให้ยืม) ( Res Perit Domino)                
๔.ดอกผลของทรัพย์สินที่ให้ยืมเป็นของเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ เช่นนาย ก เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในช้างเชือกหนึ่ง นาย ข ยืมช้างเชือกนั้นจากนาย ก ระหว่างที่ช้างเชือกนั้นอยู่กับนาย ข ช้างตกลูกมา ๑ เชือก ดังนี้ลูกช้างตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่นาย ก               
๓. วัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูป จากถ้อยคำในมาตรา ๖๔๐ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ใช้คำอันเกี่ยวกับวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปว่า ทรัพย์สินทำให้เกิดปัญหาตามมาว่า อสังหาริมทรัพย์และบรรดาสิทธิต่างๆที่ไม่มีรูปร่างอันถือว่าเป็นทรัพย์สินนั้น จะเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้หรือไม่ ส่วนสังหาริมทรัพย์นั้นไม่มีปัญหาใดๆในการเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูป เพราะสามารถที่จะส่งมอบให้ใช้สอยและส่งคืนเมื่อใช้สอยเสร็จแล้วได้                 สำหรับปัญหาที่ว่า อสังหาริมทรัพย์จะเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้หรือไม่ มีความเห็นแตกต่างกันดังนี้               

ความเห็นที่ ๑ เห็นว่า อสังหาริมทรัพย์ไม่อาจเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้ เพราะไม่อาจส่งมอบกันได้ และในเรื่องการใช้สอยหรือการได้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นมีบทบัญญัติ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ลักษณะ ๕ ว่าด้วยสิทธิอาศัยอยู่แล้ว จึงไม่สามารถบังคับกันได้ในลักษณะสัญญายืมใช้คงรูป                
ความเห็นที่ ๒ เห็นว่า อสังหาริมทรัพย์เป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้ เพราะอาจมีการส่งมอบและส่งคืนได้ตามหลักของสัญญายืมใช้คงรูป เนื่องด้วยการส่งมอบมีหลายวิธีและไม่ได้มีแบบพิธีในกฎหมาย ( ส่งมอบโดยปริยาย ) ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิอาศัยเป็นเรื่องการก่อตั้งทรัพยสิทธิ อันเป็นคนละเรื่องกับการก่อบุคคลสิทธิ                                 
สำหรับวัตถุที่ไม่มีรูปร่างอันถือว่าเป็นทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า สิทธิการเช่า จะสามารถเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้หรือไม่ มีความเห็นแตกต่างดังนี้               
ความเห็นที่ ๑ เห็นว่า ไม่อาจจะนำมาเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้ เพราะไม่สามารถส่งมอบและส่งคืนให้แก่กันได้เนื่องด้วยไม่มีรูปร่างไม่สามารถจับต้องได้ ความเห็นที่๒ เห็นว่า สิทธิต่างๆ ย่อมนำมาเป็นวัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้ เพราะสามารถกระทำการส่งมอบโดยปริยายได้ โดยหลักแล้วการส่งมอบย่อมอาศัยการแสดงออกทางกายภาพ จึงไม่น่าที่จะมีการส่งมอบวัตถุที่ไม่มีรูปร่างได้ หรือในเรื่องที่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญายืมก็เป็นหนี้ที่เกี่ยวกับวัตถุมีรูปร่างทั้งสิ้น เช่น การบำรุงรักษาทรัพย์ที่ยืม ( มาตรา ๖๔๗), การใช้ทรัพย์ที่ยืมตามสภาพ ( มาตรา๖๔๐, ๖๔๓ ), การสงวนรักษาทรัพย์ที่ยืม ( มาตรา ๖๔๔ )  ดังนี้หากจะมีการให้ใช้สิทธิที่ไม่มีรูปร่างเหล่านี้ ก็จะมีลักษณะเป็นสัญญาที่ไม่มีชื่อ ที่เรียกกันทั่วไปว่า สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ ซึ่งต้องอาศัยกฎหมายที่ได้ก่อตั้งสิทธินั้นๆ ด้วย               
๔ . เป็นสัญญาซึ่งถือคุณสมบัติของผู้ยืมเป็นสาระสำคัญ   สำหรับในประเด็นนี้ เนื่องจากสัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่ไม่มีค่าตอบแทน ผู้ยืมเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวจากสัญญาดังกล่าว ดังนั้น การที่ผู้ให้ยืมจะให้ผู้ใดยืมทรัพย์สินของตนจึงมักจะต้องพิจารณาถึงคุณสมบัติของผู้ยืมว่าเป็นผู้ที่น่าไว้วางใจที่จะได้ครอบครองและใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้นหรือไม่ ซึ่งหลักดังกล่าวปรากฏอยู่ในมาตรา ๖๔๓, ๖๔๘  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  

อสังเกตของสัญญายืมใชคงรูปมีดังนี้ 
๑. สัญญายืมใช คงรูปไมจํากัดวาจะตองทําเปนหนังสือ หรือวาจา เพียงแตมีการสงมอบทรัพยสินที่ยืมก็ เป นสัญญายืมที่บริบูรณแลว ดังนี้สัญญายืมใชคงรูปที่คูสัญญา ตกลงทําเปนหนังสือลงลายมือชื่อเปนสําคัญแตยังไมมีการสงมอบทรัพยสินที่ยืม สัญญายืมยอมไมบริบูรณแตไมถึงกับเป็นโมฆะหรือไมบริบูรณ เพราะคําวาไมบริบูรณไมใชความหมายเดียวกัน กับโมฆะหรือไมสมบูรณ กล่าวคือไมบริบูรณในที่นี้ คือ ไมสามารถตอสูกับบุคคลภายนอกได เทานั้นเอง แตยังสามารถกลาวอ้างตอคูกรณี ไดอยูามีการยืมกัน                 
ตัวอย าง นายเอกตกลงให นายโทยืมมาไปขี่ ๓ วัน โดยไมคิดคาตอบแทนใด ๆ ซึ่งใน การตกลงกันได ทําเปนหนังสือลงลายมือชื่อนายเอก และนายโทแตยังไมมีการสงมอบมาที่ยืมกัน ต่อมานายเอกไดขายมาดังกลาวใหนายตรีไป โดยนายตรีไมเคยทราบมากอนเลยวา นายโทไดยืมมา ตัวนี้กับนายเอก ดังนั้น สัญญายืมมา ระหวางนายเอกและนายโทยอมไมบริบูรณ เพราะยังไมมีการส่งมอบมาที่ยืม แตสัญญายืมมาก็ยังคงกลาวอางกันได ระหวางนายเอกและนายโท เพราะคําวาไมบริบูรณ  ไมไดหมายความวา ไมสมบูรณหรือโมฆะ เพียงแตการที่ไมบริบูรณ เพราะเหตุไมไดงมอบมาที่ยืม นั้นจะตอสูอบุคคลภายนอกผูทําการสิ่งใด คือ นายตรีไมได กลาวคือ นายโทจะอางต่อนายตรีใหงมาแกตน เพราะตนไดยืมมาดังกลาวจากนายเอกแลวเชนนี้ นายโททําไมไดวนว่าความรับผิดตามสัญญายืม ระหวางนายเอกกับนายโทก็ไปวากันเปนอีกเรื่องตางหาก                   
๒. สัญญาจะใหยืมมีไดหรือไม เรื่องนี้ มีนักกฎหมายใหความเห็นแตกตางกันดังนี้คือ ฝ ายที่หนึ่ง   เห็นว าสัญญาจะใหยืมหรือคํามั่นจะใหยืมมีไมได เพราะสัญญายืมเปนการใหยืมไดใชทรัพยสินไดเปลาดังนั้นจึงไมาจะใหภาระใด ๆ ตกอยูแกผูใหยืม
ายที่สอง   เห็นว าสัญญาวาจะใหยืม หรือคํามั่นวาจะใหยืมสามารถมีได เพราะถือเปนสัญญาชนิดหนึ่งในประมวลกฎหมายแพงพาณิชย บรรพ 1 หลักทั่วไป ไมใชสัญญายืม ในเอกเทศสัญญา แตเปนสัญญานอกบรรพ ๓วาดวยเอกเทศสัญญา คือเปนสัญญาไมมีชื่อ อยางหนึ่ง ซึ่งเปนเพียงแต แสดงเจตนา ตกลงกันก็สามารถบังคับกันได ไมจําตองนําเรื่องการสงมอบในเรื่องสัญญายืมมาใช               
๓. วัตถุแหงสัญญายืมใชคงรูปวัตถุแหงสัญญายืมใชคงรูป ไดแกทรัพยสิน กลาวคือ วัตถุที่มีรูปรางหรือไมมีรูปรางที่อาจมีราคาและอาจถือเอาได ไมาจะเปนอสังหาริมทรัพยหรือสังหาริมทรัพยก็ตาม เชน ปากกาหนังสือ ฯลฯ แตอยางไรก็ตามมีนักกฎหมายบางทานเห็นวาเฉพาะวัตถุที่มีรูปราง และไมใชอสังหาริมทรัพย จึงจะยืมใชคงรูปได เพราะเปนทรัพยที่สามารถสงมอบกันไดวนทรัพยที่ไมมีรูปรางหรือ อสังหาริมทรัพย เปนทรัพยสินที่ไมสามารถสงมอบกันได จึงไมอาจจะยืมใชกันได  







ความสมบูรณ ของสัญญายืมใชคงรูปมีหลักเกณฑในการพิจารณาดังนี้ 

การยืมใช คงรูปหากไมมีการสงมอบทรัพยสินที่ใหยืมแกผูยืม การยืมยอมไมบริบูรณกลาวคือการยืมใชคงรูปจะมีผลผูกพันระหวาง ผูยืมและผูใหยืม และใชางตอบุคคลภายนอกไดก็ตอเมื่อไดมีการสงมอบทรัพยสินที่ใหยืมแลว               

ตัวอยางเชน นายแดงจะยืมแหวนเพชรนายดําเพื่อใชใสวันแตงงาน เพียงแตตกลงกันยังไมมี การมอบแหวนเพชรดังกลาว ตอมานายดําไดขายแหวนเพชรนั้นใหนายขาว เชนนี้แม นายดําและนายแดง จะมีความผูกพันตามที่ตกลงกันก็ตาม แตนายแดงจะไปใชเปนขออางตอนายขาวไมไดเพราะการยืม ยังไมสมบูรณ เนื่องจากยังไมมีการสงมอบแหวนที่ยืมแกนายแดง ฯลฯ

การสงมอบทรัพยสินที่ยืม
อาจมีลักษณะเป็นการสงมอบโดยตรงหรือโดยปริยายก็ได เชน               
๑. การสงมอบโดยตรง ไดแก การสงมอบทรัพยสินที่ยืมใหแกผูยืมไป โดยมีลักษณะ การหยิบยืมทรัพยสินหรือแสดงอาการใด ๆ ที่เห็นไดชัดเจนวาไดมีการสงมอบทรัพยสินที่ยืมแลว ตัวอยางเชน หยิบหนังสือ, แหวนเพชรยื่นใหแกผูยืม              
 ๒. การสงมอบโดยปริยาย ไดแก การสงมอบทรัพยสินที่ยืมโดยปราศจากการหยิบยื่น แตเปนการสงมอบโดยปริยาย กลาวคือ แสดงกริยาอาการที่แสดงออกใหเห็น โดยปริยายวาไดงมอบ ทรัพยสินที่ยืมแลว ตัวอยางเชน สงมอบกุญแจรถ ใหแกผูยืมที่ยืมรถ ฯลฯ

สิทธิและหน้าที่ของผู้ยืมและผู้ให้ยืม 

โดยหลักสัญญายืมใช้คงรูปย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ยืมฝ่ายเดียว หนี้ที่เกิดจากสัญญายืมใช้คงรูปจึงเป็นหนี้ที่เกิดแก่ผู้ยืมฝ่ายเดียว ผู้ให้ยืมหาได้มีหนี้หรือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อผู้ยืมแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามแม้ผู้ให้ยืมจะไม่มีหนี้ตามสัญญายืมใช้คงรูป ผู้ให้ยืมก็อาจมีหนี้ต่อผู้ยืมโดยมูลเหตุอย่างอื่นได้ เช่น ละเมิด เป็นต้น

สิทธิของผู้ยืม               

สิทธิของผู้ยืมตามสัญญายืมใช้คงรูป ก็คือ การได้ใช้สอยหรือแสวงหาประโยชน์จากตัวทรัพย์ที่ยืมตามสภาพแห่งทรัพย์ที่ผู้ให้ยืมส่งมอบให้ตลอดอายุสัญญา โดยผู้ยืมไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ให้ยืมส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมในสภาพอันซ่อมแซมดีแล้วเหมือนอย่างกรณีสัญญาเช่าแต่อย่างใด เพราะการใช้ทรัพย์ของผู้ยืมเป็นการใช้ทรัพย์ได้เปล่าไม่ต้องเสียค่าตอบแทนแต่อย่างใดสำหรับระยะเวลาในการได้ใช้ทรัพย์นั้นก็ย่อมเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญายืม หากมีการกำหนดเวลาเอาไว้ ก็ย่อมใช้ได้จนกระทั่งสิ้นระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ แต่หากไม่ได้กำหนดเวลาเอาไว้ ผู้ยืมจะมีสิทธิได้ใช้สอยทรัพย์ที่ยืมภายในระยะเวลาใด กรณีนี้หากพิจารณาตามบทบัญญัติมาตรา ๒๐๓ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  จะเห็นได้ว่า หนี้ซึ่งกำหนดระยะเวลาไม่ได้กำหนดลงไว้นั้น เจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน ดังนี้จะเห็นได้ว่าหากเป็นกรณีสัญญายืม เมื่อผู้ให้ยืมส่งมอบทรัพย์ที่ยืมก็เกิดหนี้แก่ฝ่ายผู้ยืม ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา ๒๐๓ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ผู้ให้ยืมสามารถเรียกให้คืนทรัพย์ได้ทันที ทำให้ผู้ยืมอาจจะไม่ได้ใช้สอยทรัพย์ที่ยืมตามความประสงค์ของตน ด้วยเหตุนี้บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ว่าด้วยสัญญายืม จึงได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา ๖๔๖ ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า ถ้ามิได้กำหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้ เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว               

ถ้าเวลาก็มิได้กำหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียกของคืนเมื่อไหร่ก็ได้ [1] กล่าวคือ แม้สัญญายืมจะมิได้กำหนดระยะเวลาในการคืนทรัพย์ที่ยืมไว้ ก็มิได้หมายความว่าผู้ให้ยืมจะเรียกคืนทรัพย์ได้ในทันที ทั้งนี้เพื่อให้สมประโยชน์ตามสัญญายืม ม.๖๔๖ จึงกำหนดไว้ว่าจะเรียกคืนได้ต่อเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินตามการที่ตกลงกันไว้ในสัญญาแล้ว หรือเมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว ดังนี้จะเห็นได้ว่า ผู้ยืมย่อมสามารถที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์ที่ยืมหรือมีเวลาพอแก่การที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์ที่ยืมได้ อย่างไรก็ตามในกรณีที่ในสัญญายืมไม่ปรากฏว่ายืมไปเพื่อการใด ผู้ให้ยืมก็สามารถที่จะเรียกคืนเมื่อใดก็ได้   ทั้งนี้เพื่อเป็นการคุ้มครองฝ่ายผู้ให้ยืม จะนำหลักที่ว่าผู้ยืมย่อมได้ใช้สอยทรัพย์ที่ยืมตามสัญญามาใช้ไม่ได้                 บทบัญญัติมาตรา ๖๔๖ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ได้บัญญัติถึงสัญญายืมใช้คงรูปที่ไม่มีกำหนดเวลาเอาไว้โดยเฉพาะแล้ว คู่กรณีจึงไม่อาจจะอ้างบทบัญญัติมาตรา ๒๐๓ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ได้ เพราะเป็นกรณีเดียวกันซึ่งบทบัญญัติเฉพาะได้กำหนดเอาไว้แล้ว  นอกจากสิทธิในการได้ใช้สอยทรัพย์ที่ยืมแล้ว ผู้ยืมในฐานะผู้ครอบครองทรัพย์ที่ยืม ย่อมมีสิทธิป้องกันขัดขวางการรบกวนการใช้สอยทรัพย์ที่ยืมจากบุคคลภายนอกได้ในฐานะผู้ครอบครองตามมาตรา ๑๓๗๔  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ในการใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมนั้น ผู้ยืมย่อมมีส่วนได้เสียโดยตรงเกี่ยวกับตัวทรัพย์ที่ยืม กล่าวคือ การคงอยู่แห่งตัวทรัพย์ย่อมเป็นประกันการได้ใช้สอยทรัพย์นั้นตลอดอายุสัญญายืม ดังนี้ผู้ยืมย่อมมีสิทธิที่จะเอาประกันภัยในตัวทรัพย์นั้นได้ และในกรณีนี้หากบุคคลภายนอกทำให้ทรัพย์ที่ยืมบุบสลายหรือสูญหาย ผู้ยืมย่อมเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการขาดประโยชน์ในทรัพย์ที่ยืมได้ แต่จะเรียกร้องเอาค่าเสียหายอันเกี่ยวกับตัวทรัพย์ไม่ได้ เพราะผู้ยืมไม่ใช่เจ้าของทรัพย์นั้น 

หน้าที่ของผู้ยืม                
๑.หน้าที่ในการเสียค่าใช้จ่ายต่างๆและค่าบำรุงรักษาทรัพย์สิน (ม.๖๔๒) ตามมาตรา๖๔๒ ค่าใช้จ่ายต่างๆ นี้ได้ถูกกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ยืมแต่ฝ่ายเดียว ทั้งนี้เพราะสัญญายืมใช้คงรูปผู้ที่ได้รับประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวก็คือผู้ยืม จึงสมเหตุสมผลดีแล้วที่ผู้ยืมจะต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายต่างๆเหล่านั้น  อย่างไรก็ตามคู่กรณีอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้ เพราะ ม๖๔๒ มิใช่บทบัญญัติอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด  สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญานั้น โดยปกติจะมีค่าใช้จ่ายตรงนี้ต่อเมื่อมีการทำสัญญาต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ในการทำสัญญายืมใช้คงรูปนั้นไม่จำเป็นต้องทำต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพราะเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่อย่างไรก็ตามอาจมีกรณีที่คู่สัญญาต้องการที่จะได้มีการทำหลักฐานการยืมเป็นหนังสือก็ได้ ส่วนค่าส่งมอบนั้นอาจเกิดมีขึ้นได้ในกรณีที่ผู้ให้ยืมกับผู้ยืมอยู่ห่างกันโดยระยะทาง และค่าส่งคืนก็เช่นเดียวกัน ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ผู้ยืมต้องเป็นผู้รับผิดชอบ                
๒.หน้าที่ในการเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์ที่ยืม ( ม.๖๔๗) ผู้ยืมมีหน้าที่ในการรักษาทรัพย์ที่ยืมให้คงสภาพเหมือนตอนได้รับมอบเพื่อการส่งคืนในภายหลัง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาทรัพย์ที่ผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบนี้ หมายความเฉพาะค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมนั้น ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่ายธรรมดาโดยทั่วไปที่จำเป็นเพื่อการบำรุงรักษาทรัพย์ที่ยืม ไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในกรณีพิเศษด้วย สำหรับค่าใช้จ่ายในกรณีพิเศษนั้นย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ให้ยืมในฐานะผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ยืมที่ต้องรับผิดชอบ แต่หากผู้ยืมได้จ่ายค่าใช้จ่ายในกรณีพิเศษไป ก็อาจเรียกเอาจากผู้ให้ยืมได้โดยอาศัยมูลหนี้จัดการงานนอกสั่ง หรือคู่กรณีอาจตกลงกันไว้ในสัญญายืมก็ได้ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าว                 ส่วนอย่างไรเป็นค่าใช้จ่ายตามปกติ อย่างไรเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป โดยอาจนำหลักในเรื่องสัญญาเช่ามาช่วยในการพิจารณาได้(กรณีซ่อมแซมเล็กน้อยกับซ่อมแซมอย่างใหญ่)                
๓.หน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมมาตรา ๖๔๔ ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ยืมจำต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเองเนื่องจากผู้ยืมเป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญายืมแต่เพียงฝ่ายเดียว และเพื่อให้สมประโยชน์ดังกล่าว ผู้ยืมจึงต้องรับผิดชอบในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม ปัญหาสำหรับประเด็นนี้คือ ระดับในการสงวนรักษาทรัพย์เพียงใดจึงจะเป็นการเพียงพอแก่หน้าที่หนี้ ซึ่งมาตรา ๖๔๔ ได้กำหนดระดับการสงวนรักษาทรัพย์ไว้ในระดับวิญญูชน กล่าวคือ หากทรัพย์ที่ยืมเกิดสูญหายหรือบุบสลาย ผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบในเหตุดังกล่าวหรือไม่ ต้องพิจารณาว่าผู้ยืมได้ใช้ความระมัดระวังสงวนรักษาทรัพย์ที่ยืมในระดับแห่งวิญญูชนจะพึงสงวนรักษาทรัพย์สินของตนแล้วหรือไม่ ถ้าได้ใช้ความระมัดระวังในระดับวิญญูชนแล้ว ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิดชอบในเหตุดังกล่าวแต่อย่างใด ความระมัดระวังในระดับวิญญูชนนั้นพิจารณาจากบุคคลธรรมดาทั่วไปที่มีความรู้ความสามารถในระดับปานกลางในสังคมว่าเขาใช้ความระมัดระวังในการรักษาทรัพย์ของตนอย่างไร จะนำเอาความระมัดระวังในการรักษาทรัพย์ของผู้ยืมมาใช้เป็นเกณฑ์ย่อมไม่ได้  หากผู้ยืมฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์ที่ยืมย่อมเป็นกรณีของการไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์แห่งมูลหนี้ ผู้ให้ยืมย่อมเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ตาม มาตรา ๒๑๕ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  และสามารถบอกเลิกสัญญาได้ตาม มาตรา ๖๔๕ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  โดยไม่จำเป็นต้องปรากฏว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นก่อนแต่อย่างใด

ข้อสังเกต
๑.บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มาตรา ๖๔๔ มิได้เป็นบทบัญญัติว่าด้วยความสงบเรียบร้อย ดังนั้น คู่กรณีอาจตกลงเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้
๒.บทบัญญัติแห่งมาตรานี้มาตรา ๖๔๔ บัญญัติไว้แตกต่างจากมาตรา ๖๔๓ ดังนี้แม้ปรากฏว่าผู้ยืมฝ่าฝืนมาตรา ๖๔๔ แต่ปรากฏว่าทรัพย์ที่ยืมเกิดการสูญหายหรือบุบสลายโดยเหตุสุดวิสัย ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด ทั้งนี้ตามหลักทั่วไปว่าด้วยหนี้
๓. ถ้าการสูญหายหรือบุบสลายเป็นผลจากการที่ไม่ได้สงวนหรือสงวนไม่ถึงระดับวิญญูชนพึงสงวนทรัพย์ของตนเองเพราะความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ยืมย่อมถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิตามมาตรา ๔๒๐ ด้วย                  
๔.หน้าที่ในการใช้ทรัพย์สินที่ยืมโดยชอบมาตรา ๖๔๓ บัญญัติว่า  ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์นั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม่ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ทรัพย์สินนั้นก็จะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”   

มาตรา ๖๔๓ ได้บัญญัติหน้าที่ของผู้ยืมในการใช้ทรัพย์สินที่ยืมไว้ ๔ ประการคือ                
๑. ผู้ยืมต้องไม่เอาทรัพย์ที่ยืมไปใช้เป็นการอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์ย่อมหมายถึงการที่ผู้ยืมต้องใช้ทรัพย์ที่ยืมตามสภาพแห่งทรัพย์นั้น หากการใช้ไม่เป็นไปตามนั้นย่อมจะก่อให้เกิดความเสียหายได้ ทรัพย์แต่ละชนิดย่อมมีข้อจำกัดแห่งการใช้ตามสภาพของตัวมันเอง เช่นรถยนต์นั่งจะเอาไปขนดินไม่ได้ ดังนั้นหากมีการยืมรถยนต์นั่งไปใช้ผู้ยืมย่อมจะนำไปใช้เพื่อการบรรทุกดินอันถือได้ว่าเป็นการใช้ที่ไม่เป็นไปตามสภาพแห่งทรัพย์ หากได้กระทำไปและเกิดการเสียหายขึ้นย่อมจะต้องรับผิดชอบได้ตามมาตรา ๒๑๕                 
๒. ผู้ยืมต้องไม่ใช้ทรัพย์ที่ยืมนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หมายความว่าผู้ยืมต้องใช้ทรัพย์ที่ยืมตามที่ได้มีการตกลงกันเพื่อการใดการหนึ่งจะใช้ทรัพย์นั้นให้นอกเหนือจากที่ตกลงไปไม่ได้ เช่นตกลงยืมรถยนต์ของเพื่อนเพื่อจะเอาไปทำธุรกิจที่จังหวัดราชบุรีแต่ปรากฏว่าได้ขับรถต่อไปถึงจังหวัดสงขลาเป็นต้น กรณีเช่นนี้จัดได้ว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว                
๓. ผู้ยืมต้องไม่เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นที่เห็นได้ชัดว่าโดยลักษณะของสัญญายืมใช้คงรูปนั้นเป็นสัญญาที่มุ่งให้ผู้ยืมเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการใช้ทรัพย์เป็นการเฉพาะโดยถือเอาคุณสมบัติของผู้ยืมเป็นสำคัญ ดังนั้นการในทรัพย์ที่ยืมอาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องของตัวผู้ยืมเท่านั้นผู้ยืมจึงไม่ควรที่จะนำเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยแต่อย่างใด หากไม่ปฏิบัติตามนี้และเกิดการเสียหายขึ้นผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบ [2]                 
๔. เมื่อใช้สอยเสร็จแล้วต้องรีบคืนให้แก่ผู้ให้ยืมไม่ควรเก็บเอาไว้นานทั้งนี้เพราะผู้ยืมไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์ที่ยืมและในท้ายที่สุดก็ต้องคืนทรัพย์ที่ยืมแก่ผู้ให้ยืม ความคงอยู่หรือความสมบูรณ์แห่งตัวทรัพย์ที่ยืมจึงมีความสำคัญ                หากผู้ยืมไม่ปฏิบัติหน้าที่ข้างต้นแม้ในกรณีใดกรณีหนึ่ง เป็นเหตุให้ทรัพย์ที่ยืมสูญหายหรือบุบสลาย ผู้ยืมต้องรับผิดในเหตุดังกล่าว แม้ว่าเหตุที่สูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม ซึ่งเป็นความรับผิดที่เคร่งครัดมาก ด้วยเหตุนี้กฎหมายจึงเปิดช่องให้ความเคร่งครัดนี้ยืดหยุ่นมากขึ้นคือ ข้อยกเว้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเองหากผู้ยืมพิสูจน์ได้ว่าแม้เขาจะไม่ได้ทำผิดหน้าที่นี้ ทรัพย์ที่ยืมก็ยังคงต้องสูญหายหรือบุบสลายโดยเหตุสุดวิสัยอยู่นั่นเอง ผู้ยืมก็พ้นจากความรับผิดได้(หากไม่ผิดหน้าที่นี้ แล้วทรัพย์เกิดสูญหายหรือบุบสลายเพราะเหตุสุดวิสัย ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิด)  และกรณีมาตรา ๖๔๓ นี้หากผู้ยืมฝ่าฝืนเป็นเหตุให้ผู้ให้ยืมต้องเสียหาย ผู้ให้ยืมสามารถเรียกให้ผู้ยืมรับผิดได้ตามมาตรา ๒๑๕ได้ด้วย และผู้ให้ยืมยังมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา ๖๔๕ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สำหรับประเด็นในเรื่องที่ผู้ยืมจะเอาทรัพย์ที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้ไม่ได้นั้น มีปัญหาว่า ผู้ให้ยืมจะยินยอมให้มีการนำไปให้บุคคลภายนอกใช้ได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นได้ว่า มาตรา๖๔๓ มิใช่บทบัญญัติอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี คู่กรณีจึงสามารถตกลงเป็นอย่างอื่นได้ และผลจากการตกลงแตกต่างนี้สัญญายืมดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอกหากเกิดความเสียหายขึ้นจากการใช้ทรัพย์โดยมิชอบผู้ให้ยืมย่อมจะเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอกได้               

๕.หน้าที่ในการคืนทรัพย์สินที่ยืม การคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้นต้องคืนทรัพย์อันเดียวกับที่ยืม ส่วนจะคืนเมื่อไหร่ต้องเป็นไปตามที่กำหนดในสัญญา หรือหากในสัญญาไม่มีการกำหนดเวลาคืน ก็ต้องพิจารณาจากมาตรา๖๔๖ 

การคืนทรัพย์สิน
               ๑.คืนเมื่อไรให้คืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้วตามมาตรา๖๔๖
               - ถ้าได้กำหนดเวลากันไว้ให้ส่งคืนเมื่อครบกำหนดนั้น เช่นให้คืนเมื่อครบกำหนด ๑๕ วันตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา
               - ถ้าไม่ได้กำหนดเวลากันไว้ให้คืนเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นจนเสร็จการตามที่กำหนดในสัญญาแล้วเช่นยืมรถบัสเพื่อเป็นพาหนะไปทอดกฐิน เมื่อทอดกฐินเสร็จก็ต้องนำรถไปคืน   แต่ถ้าเมื่อเวลาได้ล่วงเลยไปพอสมควร แก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้วแต่ผู้ยืมยังไม่ใช้สอยทรัพย์สินผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนก็ได้ตามมาตรา ๖๔๖)เช่นยืมรถบัสเพื่อเป็นพาหนะไปทอดกฐินแต่เมื่อหมดช่วงกฐินแล้วผู้ยืมยังไม่ได้ใช้รถเป็นพาหนะไปทอดกฐินผู้ให้ยืมสามารถเรียกรถคืนได้
               - ถ้าไม่ได้กำหนดเวลาและไม่ได้กำหนดว่าจะยืมไปใช้เพื่อการใด ผู้ให้ยืมจะเรียกทรัพย์สินคืนเมื่อใดก็ได้
              หากผู้ยืมไม่สามารถที่จะคืนทรัพย์ที่ยืมได้ เพราะความผิดของผู้ยืม ผู้ยืมก็ต้องใช้ราคาทรัพย์ที่ยืมแทน ปัญหาก็คือจะต้องคืนตามราคาของทรัพย์ในเวลาใด ในกรณีนี้เห็นได้ว่า ควรจะคิดตามราคาของทรัพย์ในเวลาที่ตกลงยืมอันเป็นราคาตามสภาพแห่งทรัพย์ในเวลาที่มีการส่งมอบให้เพื่อการยืม   ส่วนเรื่องสถานที่ในการคืนนั้นต้องพิจารณาจากบทบัญญัติทั่วไปเกี่ยวกับหนี้ ตามมาตรา ๓๒๔  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์   ในกรณีที่ผู้ยืมไม่อาจคืนทรัพย์สินที่ยืมได้อาจมีสาเหตุต่างๆกัน เช่น

๑.ทรัพย์ที่ยืมเกิดสูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัย โดยผู้ยืมไม่ได้ปฏิบัติผิดหน้าที่ ดังนี้ ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิดใดๆต่อผู้ให้ยืม ตามหลักความวินาศแห่งทรัพย์ย่อมตกเป็นพับแก่เจ้าของ ( ผู้ให้ยืม ) แต่คู่สัญญาอาจตกลงกันเป็นอย่างอื่นในกรณีที่คืนทรัพย์ไม่ได้เพราะเหตุสุดวิสัย ผู้ยืมต้องรับผิดชอบ ก็สามารถที่จะตกลงกันได้                
๒.ผู้ยืมไม่ส่งคืนทรัพย์เนื่องจากการที่ทรัพย์สูญหายเกิดจากความผิดของผู้ยืมที่ฝ่าฝืนมาตรา ๖๔๓, ๖๔๔ ดังนี้ผู้ยืมต้องใช้ราคาและค่าเสียหายอื่นๆแก่ผู้ให้ยืม                   
๓.ในกรณีที่ความเสียหายเกิดจากบุคคลภายนอก โดยผู้ยืมมิได้ปฏิบัติผิดหน้าที่แต่อย่างใด ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิด กรณีนี้ผู้ให้ยืมอาจฟ้องเรียกร้องเอาจากบุคคลภายนอกผู้ทำละเมิดได้โดยตรง
๔.ผู้ยืมไม่ส่งคืนทรัพย์ทั้งๆที่ส่งคืนได้ ดังนี้ผู้ให้ยืมฟ้องเรียกคืนได้และผู้ยืมอาจมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์                
๕ .กรณีที่ส่งคืนไม่ได้หรือไม่ส่งคืนโดยมีเหตุที่จะเอาผิดแก่ผู้ยืมได้ ผู้ให้ยืมอาจฟ้องผู้ยืมต่อศาลได้ดังนี้ -ให้คืนทรัพย์สินที่ยืมนั้น ( ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๒๑๓) -เรียกค่าเสียหายเพราะเหตุที่ตนไม่ได้รับคืนทรัพย์ที่ให้ยืมจากผู้ยืมได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๒๑๓ วรรคท้ายและ มาตรา ๒๒๒ ) -ถ้าผู้ยืมผิดนัด (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา๒๐๔) ผู้ให้ยืมมีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากจำนวนราคาทรัพย์สินที่ยืม (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๒๒๔)
สิทธิของผู้ให้ยืม                
๑.สิทธิในการบอกเลิกสัญญา   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตร ๖๔๕ บัญญัติว่า ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา ๖๔๓ นั้นก็ดีหรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความในมาตรา ๖๔๔ ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”[1] กล่าวคือเป็นกรณีที่ผู้ยืมไม่สงวนรักษาทรัพย์ที่ยืมในระดับวิญญูชนตามหน้าที่ของผู้ยืมที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖๔๔ และกรณีที่ผู้ยืมไม่ใช้ทรัพย์ที่ยืมโดยชอบตามหน้าที่ของผู้ยืมที่กำหนดไว้ในมาตรา ๖๔๓ จึงก่อให้เกิดสิทธิในการบอกเลิกสัญญาแก่ผู้ให้ยืมตามมาตรา ๖๔๕ อันเป็นสิทธิในการบอกเลิกสัญญาตามที่กฎหมายกำหนด ตามนัยมาตรา ๓๘๖ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ทั้งนี้ในการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาของผู้ให้ยืมนี้ไม่จำต้องให้มีความเสียหายเกิดขึ้นแก่ทรัพย์ที่ยืมก่อนแต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่าผู้ยืมไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนดังระบุเอาไว้ในมาตรา ๖๔๓และ๖๔๔ ก็เป็นการเพียงพอที่ผู้ให้ยืมจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้แล้ว                
๒.สิทธิในการเรียกทรัพย์ที่ยืมคืน   โดยหลักแล้วสิทธิในการเรียกทรัพย์ที่ยืมคืนจะเกิดมีขึ้นต่อเมื่อครบกำหนดระยะเวลาในการยืม หรือในกรณีไม่มีกำหนดระยะเวลา สิทธิในการเรียกคืนทรัพย์ที่ยืมจะเกิดต่อเมื่อผู้ยืมใช้สอยทรัพย์ที่ยืมเสร็จแล้ว หรือได้ล่วงเวลาไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์นั้นเสร็จแล้ว หรือผู้ยืมจะเรียกคืนเมื่อไรก็ได้ ถ้าเป็นกรณีมิได้กำหนดเวลาคืนไว้และในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปเพื่อการใด                 ปัญหาที่น่าพิจารณาคือ หากในระหว่างระยะเวลายืมหรือระหว่างที่ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์ที่ยืมยังไม่เสร็จสิ้น ผู้ให้ยืมมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพย์ที่ให้ยืมไป อันเป็นเหตุจำเป็นที่ไม่อาจคาดหมายได้ ดังนี้ผู้ให้ยืมจะสามารถเรียกคืนทรัพย์ที่ให้ยืมได้หรือไม่ ? ในกรณีที่ทรัพย์ที่ยืมเกิดตกไปอยู่ในมือของบุคคลภายนอก ผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเอาทรัพย์นั้นคืนได้โดยตรงในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์                
๓.สิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ราคาทรัพย์หรือชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการที่ทรัพย์ที่ยืมสูญหายหรือบุบสลายเพราะความผิดของผู้ยืม (มาตรา ๒๑๓, ๒๑๕, ๒๒๒) อย่างไรก็ตาม ผู้ให้ยืมไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าสึกหรอหรือการเสื่อมสภาพแห่งทรัพย์ที่ยืมอันเกิดขึ้นตามปกติจากการใช้ทรัพย์ที่ยืมนั้น                
๔ .ถ้าผู้ให้ยืมเป็นเจ้าของทรัพย์สินผู้ให้ยืมมีสิทธิ์ที่จะได้ดอกผลอันเกิดแก่ทรัพย์สินที่ให้ยืมในระหว่างการยืมใช้ทรัพย์สินนั้น                
หน้าที่ของผู้ให้ยืม โดยหลักแล้วสัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทนและไม่มีค่าตอบแทน จึงเป็นสัญญาที่ก่อให้เกิดหนี้แก่ฝ่ายผู้ยืมแต่เพียงฝ่ายเดียว
ผู้ให้ยืมหาได้มีหนี้หรือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อผู้ยืมแต่อย่างใด แต่ต้องบอกกล่าวให้ผู้ยืมทราบถึงการชำรุดบกพร่องหรือบุบสลายแห่งทรัพย์ที่ให้ยืม ต้องไม่ขัดขวางในการที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินตามสัญญา ต้องรับผลแห่งภัยพิบัติแห่งทรัพย์สินที่ให้ยืมเอง ไม่ว่าจะเป็นการต้องส่งมอบทรัพย์ที่ยืมในสภาพอันซ่อมแซมดีแล้วหรือเหมาะแก่การใช้ให้แก่ผู้ยืม หรือต้องรับผิดในการชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์หรือการรอนสิทธิ แต่อย่างไรก็ตามอาจจะมีหนี้ของผู้ให้ยืมเกิดขึ้นได้ซึ่งไม่ใช่หนี้อันเกิดขึ้นโดยตรงจากสัญญายืมใช้คงรูป หากแต่เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในภายหลังที่ทำให้ผู้ให้ยืมต้องมีความรับผิดชอบได้                

๑.หน้าที่ในการเสียค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์ที่ยืมในกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ให้ยืมโดยตรง จึงเป็นการสมควรอยู่เองที่ผู้ให้ยืมจะต้องรับผิดชอบ                
๒.หน้าที่ในการรับผิดเพราะความชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินที่ยืม กล่าวคือผู้ยืมอาจได้รับอันตรายหรือความเสียหายอันเป็นผลจากความชำรุดบกพร่องของทรัพย์ที่ยืมได้โดยเหตุนี้หากผู้ให้ยืมรู้ว่าทรัพย์ที่ยืมมีความชำรุดบกพร่องจะต้องได้มีการบอกกล่าวให้ผู้ยืมทราบเพื่อป้องกันความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นแก่ตัวผู้ยืมหากละเลยไม่บอกกล่าวผู้ให้ยืมต้องรับผิดชอบ ทั้งนี้โดยอาศัยกฎหมายเรื่องละเมิด และในกรณีที่ทรัพย์ที่ยืมได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ดังนี้ย่อมมีปัญหาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบระหว่างผู้ยืมกับผู้ให้ยืม ซึ่งในกรณีนี้ผู้ยืมควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ เนื่องจากเป็นผู้ครอบครองทรัพย์ที่ยืม ทั้งนี้ต้องพิจารณาโดยอาศัยหลักกฎหมายในเรื่องละเมิดเช่นกัน                
๓.หน้าที่ในการรับผิดเพื่อการรอนสิทธิ ? กล่าวคือหากมีบุคคลภายนอกมากล่าวอ้างแก่ผู้ยืมว่าตนมีสิทธิในทรัพย์ที่ยืม ทรัพย์ที่ยืมมิใช่ของผู้ให้ยืม และเรียกให้ผู้ยืมส่งคืนให้แก่ตน อันเป็นกรณีที่มีการรอนสิทธิ ดังนี้ผู้ให้ยืมจำต้องรับผิดในการรอนสิทธินั้นหรือไม่ จากที่ได้พิจารณามาแล้วว่าสัญญายืมใช้คงรูปนี้เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทนและไม่มีค่าตอบแทน ผู้ได้ประโยชน์แต่ฝ่ายเดียวตามสัญญาคือผู้ยืม ด้วยเหตุนี้ผู้ให้ยืมจึงไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิแต่อย่างใด  ปัญหาต่อมาคือ ในระหว่างกำหนดระยะเวลายืม ผู้ให้ยืมจะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมให้แก่บุคคลภายนอกได้หรือไม่ และผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จะต้องรับโอนภาระหน้าที่ให้ผู้ยืมยืมทรัพย์สินดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะครบกำหนดเวลายืมหรือไม่ สำหรับในเรื่องนี้เห็นได้ว่าผู้ให้ยืมสามารถโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมได้ และผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ก็ไม่จำต้องรับภาระหน้าที่ตามสัญญายืมแต่อย่างใด ส่วนผู้ยืมที่ได้รับความเสียหาย ก็ไม่น่าที่จะเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากผู้ให้ยืมได้เพราะผู้ให้ยืมไม่มีความรับผิดในการรอนสิทธิตามที่ได้พิจารณามาแล้ว 

ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูป   ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูปในกรณีปกติ                

๑ . กำหนดระยะเวลายืมไว้สัญญาระงับเมื่อพ้นกำหนดที่ตกลงกันไว้
๒. เมื่อมีการเรียกให้คืนทรัพย์ที่ยืมตามมาตรา๖๔๖ ถ้าไม่กำหนดเวลายืมไว้ มาตรา ๖๔๖ ถ้ามิได้กำหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว ตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้ เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว ถ้าเวลาก็มิได้กำหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืมจะเรียกของคืนเมื่อไรก็ได้กำหนดเวลายืมไม่ได้ตกลงกันไว้แน่นอนแต่ตกลงยืมไปเพื่อการใดครบกำหนดเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยเพื่อการนั้นแล้ว กำหนดเวลายืมไม่ได้ตกลงกันไว้ แต่ตกลงยืมไปเพื่อการใด หากเวลาล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยเสร็จแล้วผู้ให้ยืมเรียกทรัพย์สินที่ให้ยืมนั้นคืนได้กำหนดเวลายืมไม่ได้ตกลงกันไว้และไม่ได้ตกลงยืมไปเพื่อการใดผู้ให้ยืมเรียกทรัพย์สินที่ยืมคืนเมื่อใดก็ได้
                ๓.เมื่อผู้ยืมได้คืนทรัพย์ที่ยืมให้แก่ผู้ให้ยืม ผู้ยืมย่อมมีสิทธิใช้ทรัพย์ตามที่ปรากฏในสัญญา แต่หากปรากฏว่าผู้ยืมได้คืนทรัพย์ที่ยืมก่อนกำหนด ย่อมถือได้ว่าเป็นการเลิกสัญญา   

ความระงับแห่งสัญญายืมใช้คงรูปในกรณีพิเศษ                

๑.ความมรณะของผู้ยืม (มาตรา๖๔๘) ทั้งนี้เนื่องจากสัญญายืมใช้คงรูปเป็นเรื่องเฉพาะตัว การที่ผู้ให้ยืมยินยอมให้ผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์เป็นเรื่องที่ผู้ให้ยืมเห็นแก่ประโยชน์ของผู้ยืมเป็นการเฉพาะตัว ดังนี้หากผู้ยืมมรณะจึงไม่อาจให้ทายาทสืบสิทธิการใช้ทรัพย์ต่อไปได้  แต่กรณีที่ผู้ให้ยืมมรณะนั้นหามีผลทำให้สัญญายืมใช้คงรูประงับไปแต่อย่างใด ทายาทของผู้ให้ยืมมีความผูกพันตามสัญญาต่อไป ผู้ยืมยังคงมีสิทธิใช้ทรัพย์ที่ยืมต่อไปจนสิ้นสุดสัญญา                                 
๒.เมื่อมีการบอกเลิกสัญญา ในกรณีที่ผู้ยืมฝ่าฝืนหน้าที่ตามมาตรา ๖๔๓, ๖๔๔ ย่อมก่อให้เกิดสิทธิในการเลิกสัญญาแก่ผู้ให้ยืม และเมื่อผู้ให้ยืมได้บอกเลิกสัญญาตามสิทธิของตนแล้ว สัญญายืมใช้คงรูปย่อมระงับสิ้นไป                  
๓.เมื่อทรัพย์ที่ยืมเกิดการสูญหายหรือสิ้นสภาพไป เมื่อวัตถุแห่งสัญญาไม่อยู่หรือไม่มีตัวตน สัญญาก็ย่อมระงับไป สิ่งที่ต้องพิจารณาตามมาก็คือใครจะต้องรับผิดชอบในการสูญหายหรือสิ้นสภาพไป 

อายุความแห่งสัญญายืมใช้คงรูป

มาตรา ๖๔๙ บัญญัติว่า "ในข้อความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือน นับแต่วันสิ้นสัญญา"    การพิจารณาว่าจะใช้อายุความตามมาตรา ๖๔๘ ในกรณีใดบ้าง เช่น ผู้ยืมยืมรถยนต์จากผู้ให้ยืมแล้วทำผิดหน้าที่ตามมาตรา ๖๔๓ เช่น นำรถยนต์ไปขนดินจนรถเสียหาย ผู้ยืมคืนรถให้ผู้ให้ยืมในสภาพรถเสียหาย ผู้ให้ยืมจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ยืม ต้องฟ้องภายในอายุ ความตามมาตรา ๖๔๙ คือ ๖ เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญา
          แต่หากผู้ยืมนำรถไปขนดินจนรถเสียหายและไม่ยอมคืนรถให้แก่ผู้ให้ยืม ผู้ให้ยืมจึงฟ้องให้คืนรถ หากคืนไม่ได้ ให้ใช้ราคารถ ดังนี้ ตามแนวคำพิพากษาฎีกาถือว่าไม่อยู่ในบังคับแห่งมาตรา ๖๔๙ จึงต้องใช้อายุความธรรมดา ตามมาตรา ๑๙๓ /๓๐คือ ๑๐ปี ดังนี้ จึงต้องแบ่งอายุความออกเป็น
                ๑.การบังคับเอาทรัพย์คืนตามสัญญา(อายุความธรรมดา๑๐ปี)
กรณีทรัพย์ที่ยืมยังมีตัวอยู่ ไม่ได้สูญหายหรือถูกทำลายไป   

(๑) ถ้าผู้ให้ยืมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยืมใช้คงรูปนั้น ผู้ให้ยืมมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้โดยอาศัยหลักอำนาจของเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๑๓๓๖ โดยไม่มีอายุความ จนกว่าจะสิ้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น
(๒) ถ้าผู้ให้ยืมไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ หรือแม้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่ได้อาศัยสิทธิตามสัญญายืมใช้คงรูปฟ้องร้องเรียกทรัพย์คืนโดยไม่ใช้อำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ดังกล่าว ต้องใช้หลักอายุความทั่วไป ตาม มาตรา ๑๙๓ /๓๐มาใช้บังคับ มาตรา ๑๙๓ /๓๐ อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี มาตรา ๑๙๓ /๑๒อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป…” ดังนั้นต้องเรียกร้องทรัพย์คืนภายในกำหนดอายุความ๑๐ ปี นับแต่เวลาที่จะต้องคืนทรัพย์ อันเป็นเวลาที่สัญญาระงับลงนั่นเอง  กรณีทรัพย์ที่ยืมสูญหายหรือถูกทำลาย ผู้ให้ยืม มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ยืมใช้ราคาทรัพย์ อายุความ ๑๐ ปี นับแต่ขณะที่จะต้องใช้ราคาทรัพย์ที่ยืมนั้น    ๒.การเรียกร้องค่าทดแทนตามสัญญา(อายุความพิเศษ)
มาตรา ๖๔๙ ในข้อความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนอันเกี่ยวกับการยืมใช้คงรูปนั้นท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันสิ้นสัญญา
กรณีผู้ให้ยืม
                ก. ค่าทดแทนความเสียหายเมื่อผู้ยืมปฏิบัติผิดสัญญา ตาม มาตรา ๖๔๓,๖๔๔    ข. ค่าทดแทนความเสียหายเมื่อผู้ยืมปฏิบัติผิดสัญญาไม่ส่งทรัพย์สินคืนเมื่อถึงกำหนด แล้วความเสียหายเกิดแก่ทรัพย์สินนั้นแม้จะด้วยเหตุสุดวิสัยตามมาตรา ๖๔๓ ประกอบ๖๔๔    ค. ค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญา ค่าส่งมอบ และค่าส่งคืนทรัพย์สิน ตามมาตรา ๖๔๒ ซึ่งผู้ให้ยืมได้จ่ายแทนผู้ยืมไปก่อน
                ง. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืมตามปกติซึ่งผู้ยืมจะต้องออกตามมาตรา ๖๔๗ และผู้ให้ยืมได้ออกแทนไปก่อน
กรณีผู้ยืม
                ก. ค่าทดแทนความเสียหายเมื่อผู้ให้ยืมส่งมอบทรัพย์สินซึ่งชำรุดบกพร่องให้แก่ผู้ยืมโดยไม่แจ้งให้ผู้ยืมทราบ ทั้งที่ผู้ให้ยืมรู้อยู่แล้วก่อนการส่งมอบว่าทรัพย์สินนั้นชำรุด อาจเป็นอันตรายหรือเกิดความเสียหายแก่ผู้ยืมได้ ซึ่งเมื่อผู้ยืมนำทรัพย์สินไปใช้แล้วเกิดความเสียหายขึ้น    ข. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม ในกรณีจำเป็นอันมิใช่การบำรุงรักษาทรัพย์สินตามปกติ ซึ่งผู้ให้ยืมจะต้องเสีย แต่ผู้ยืมได้ออกทดรองไปก่อน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สถิติวิศวกรรม การสุ่มตัวอย่างและการแจกแจงตัวอย่าง ในกรณีที่ประชากรซึ่งสนใจศึกษามีขอบเขตกว้างขวางหรือมีจำนวนมากหรือการกระจายของ...