วันจันทร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สถิติวิศวกรรม

การสุ่มตัวอย่างและการแจกแจงตัวอย่าง

ในกรณีที่ประชากรซึ่งสนใจศึกษามีขอบเขตกว้างขวางหรือมีจำนวนมากหรือการกระจายของข้อมูลที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์เชิงสถิติซึ่งวัดในรูปสัมประสิทธิ์การแปรผัน (coefficient of variation หรือ CV) มีค่าน้อย การเลือกตัวอย่างแต่เพียงบางหน่วยจากทุกๆหน่วยของประชากรมาเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการจะสามารถประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้มาก นอกจากนี้ การทราบการแจกแจงตัวอย่างของค่าประมาณที่ใช้กันอยู่เสมอๆ คือ ค่าเฉลี่ย และค่าสัดส่วน ยังสามารถนำไปใช้ในการกำหนดตัวสถิติเพื่อการประมาณค่าพารามิเตอร์ หรือการทดสอบสมมติฐานเชิงสถิติเกี่ยวกับพารามิเตอร์ ตลอดจนการประเมินความถูกต้องเชื่อถือได้ของค่าประมาณ หรือของผลการทดสอบสมมติฐานเชิงสถิติ ไม่ว่าจะเป็นพารามิเตอร์ของประชากรชุดเดียว หรือประชากรตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไปได้อีกด้วย

สนใจไฟล์ Word  ราคา 50 บาทค่ะ 
ติดต่อ Facebook: nana copy หรือ ค้นหาเบอร์  
0610345632


ตัวอย่างงาน  159 แผ่น


กฎหมายในชีวิตประจำวัน


ความหมายของกฏหมาย
          ตามที่กล่าวว่า กฎหมายเป็นเครื่องมือของรัฐในการใช้เพื่อควบคุมความประพฤติหรือการปฏิบัติของคนในสังคมที่จะก่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความยุติธรรม และกฎหมายคือตัวกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิหน้าที่และเสรีภาพในสังคมตลอดถึงการป้องกันสิทธิผลประโยชน์ของประชาชนนั้น มีนักปราชญ์หลายท่านได้ให้ความหมายไว้เป็นหลายนัย คือ
          หยุด แสงอุทัย อธิบายว่า กฎหมาย ได้แก่ ข้อบังคับของรัฐ ซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ
อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายไว้ว่า กฎหมายคือข้อบังคับ (Rule) ซึ่งประกอบด้วยเหตุผล (Reason) ของชุมชน โดยมีลักษณะที่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ที่มีความขัดแย้งอยู่รวมกันได้ และก่อให้เกิดสันติสุขขึ้นในสังคมนั้น
          กฎหมาย คือ บรรดาข้อบังคับของรัฐหรือประเทศที่ใช้บังคับความประพฤติทั้งหลายของบุคคลอันเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องมีความผิดและถูกลงโทษจะได้ดังนี้คือ
          1. กฎหมายเป็นคำสั่ง ข้อห้าม หรือข้อบังคับของรัฐ
          2. กฎหมายเป็นบทกำหนดความประพฤติและการงดเว้นการกระทำ
          3. กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ทั่วไปกับทุกคน ทุกหน่วยงาน ทุกองค์การ
          4. กฎหมายจะตราขึ้นโดยหน่วยอำนาจทางนิติบัญญัติ
          5. กฎหมายทุกฉบับมีผลใช้บังคับได้อย่างสมบูรณ์หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
          6. กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ควบคุมเสมอเหมือนกันหมดทุกคน ทุกหน่วยงานและทุกองค์การ
          7.กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ทำให้คนในสังคมมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยและเกิดความยุติธรรม
          8. กฎหมายเป็นเครื่องมือบริหารรัฐ
          9. กฎหมายมีบทลงโทษแก่ผู้กระทำผิด

ลักษณะของกฎหมาย
          1. กฎหมายจะต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ หมายความว่า ผู้บัญญัติกฎหมายต้องมีอำนาจในรัฐ จะเป็นบุคคลหรือคณะบุคคล เช่น พระมหากษัตริย์ หัวหน้าคณะปฏิวัติหรือรัฐสภาที่มีอำนาจเด็ดขาดที่จะออกกฎหมายมาบังคับได้ และรัฐหรือประเทศนั้น ๆ จะต้องเป็นเอกราช มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง ไม่เป็นอาณานิคมหรือเมืองขึ้นของประเทศอื่นใด 
2. กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ทั่วไป หมายความว่า กฎหมายจะต้องใช้บังคับได้ทุกสถานที่และแก่บุคคลทุกคนโดยเสมอภาค 
3. กฎหมายเป็นข้อบังคับที่ใช้ได้เสมอไป หมายความว่า เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายเรื่องใดฉบับใดแล้ว กฎหมายนั้นก็จะใช้ได้ตลอดไป จะ เก่าหรือล้าสมัยอย่างไรก็ใช้บังคับได้อยู่ จนกว่าจะได้มีการประกาศยกเลิก เช่น พระราชบัญญัติตามช้างรัตนโกสินทรศก 127 เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ 
4. กฎหมายเป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม หมายความว่า กฎหมายทุกฉบับประชาชนต้องปฏิบัติตาม จะขัดกับผลประโยชน์ของตนอย่างไรหรือ ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ เช่น กฎหมายกำหนดให้ผู้มีรายได้ต้องเสียภาษีอากร ชายไทยอายุย่างเข้า 21 ปี ใน พ.ศ. ใดต้องตรวจเข้ารับราชการทหาร เป็นต้น บุคคลที่ถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติจะปฏิเสธไม่ได้ 
5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ หมายความว่า ผู้กระทำหรืองดเว้นกระทำตามที่กฎหมายกำหนดต้องถูกลงโทษ เช่น กฎหมายกำหนดผู้มี รายได้ต้องเสียภาษี ผู้นั้นต้องรับโทษปรับหรือถูกยึดทรัพย์สินมาขายหรือชำระค่าภาษี เป็นต้น 

ความสามารถของบุคคล
เนื่องจากกฎหมายเป็นกฎข้อบังคับหรือคำสั่งที่สร้างขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายหลักอย่างหนึ่งก็คือเพื่อให้ความคุ้มครองและรักษาประโยชน์ของบุคคล อันก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในสังคมขึ้น สิ่งที่ไม่มีสถานะเป็นบุคคลก็จะไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าการศึกษาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็คือการศึกษาสิทธิและหน้าที่ของบุคคลตังแต่เกิดจนตาย รวมไปถึงสิทธิและหน้าที่ระหว่างบุคคลที่มีต่อกันด้วย ดังนั้นก่อนจะศึกษาถึงสิทธิและหน้าที่ต่างๆต่อไป เบื้องต้นเราจึงควรศึกษาเรื่องบุคคลเสียก่อนบุคคล หมายถึง สิ่งซึ่งสามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย แบ่งเป็น
1.บุคคลธรรมดา หมายถึง คนซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
2.นิติบุคคล หมายถึง กลุ่มบุคคลหรือองค์กรซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เป็นบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดา และมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
.



บุคคลธรรมดา
สภาพบุคคลตามความหมายที่ได้กล่าวไปแล้วว่าบุคคลธรรมดา หมายถึง คนซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย  แต่คนซึ่งจะมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้นั้นก็ต่อเมื่อมี “สภาพบุคคล” แล้วเท่านั้น ดังนั้นก่อนอื่นเราควรจะต้องศึกษาถึงเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับสภาพบุคคลเสียก่อน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตายทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่างๆได้ หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
1.การเริ่มสภาพบุคคล
จากบทกฎหมายข้างต้นได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลจะเริ่มขึ้นได้นั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ
1).การคลอด ในทางการแพทย์นั้นการคลอดจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อทารกออกมาทั้งตัว มีการตัดสายรกเรียบร้อยแล้วและมีการรอให้มดลูกหดตัวประมาณ 15 นาทีถึง 2 ชั่วโมงหลังเด็กคลอด แต่ในทางกฎหมายนี้จะถือว่าเป็นการคลอดได้ก็ต่อเมื่อทารกพ้นออกจากช่องคลอดทั้งตัวแล้วเท่านั้นพอ การตัดสายรกหรือไม่นั้นไม่ใช่สาระสำคัญ
2).อยู่รอดเป็นทารก พูดง่ายๆก็คือคลอดแล้วทารกมีชีวิตอยู่นั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยการแพทย์ในการบอกว่าทารกนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่ โดยในทางกฎหมายจะถือว่าทารกที่คลอดออกมามีชีวิตนั้นต้องได้ความว่าเด็กมีการหายใจด้วย เช่นนี้ก็ถือว่ามีสภาพบุคคลเกิดขึ้นแล้ว ในทางกฎหมายเราจะไม่พิจารณาว่าจะต้องหายใจนานเท่าไหร่หรือหัวใจต้องเต้นกี่ครั้ง แม้มีการหายใจเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าสภาพบุคคลเกิดแล้วถึงแม้ทารกนั้นอาจเสียชีวิตในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็ตาม ซึ่งเมื่อมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นก็มีผลทำให้ทารกนั้นมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้ เช่น มีสิทธิรับมรดกได้ มีสิทธิที่จะได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดา และรวมไปถึงได้รับความคุ้มครองในด้านร่างกายหรือเสรีภาพ ฯลฯ ตามกฎหมายด้วย
                   การจะเริ่มสภาพบุคคลนั้นจะต้องประกอบด้วยการคลอดและการอยู่รอดเป็นทารกด้วย ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ถือว่าไม่ครบหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย สภาพบุคคลย่อมไม่เกิด เราลองมาดูตัวอย่างกันเพื่อศึกษาถึงผลทางกฎหมายระหว่างการมีสภาพบุคคลและไม่มีสภาพบุคคลกัน
ตัวอย่าง นาย ก แต่งงานกับนาง ข เกิดบุตรในครรภ์ขึ้นหนึ่งคน วันเกิดเหตุนาย ก และนาง ข ขับรถไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางขึ้น นาย ก บาดเจ็บสาหัส ส่วนนาง ข บาดเจ็บเล็กน้อยแต่เกิดเจ็บท้องใกล้คลอดพอดี พลเมืองดีนำทั้งคู่ส่งโรงพยาบาล เมื่อไปถึงโรงพยาบาลนาง ข ก็คลอดออกมาพอดี ทารกมีชีวิตรอดแต่นาย ก เสียชีวิต เช่นนี้ทารกนั้นถือว่ามีสภาพบุคคลตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว มีสิทธิต่างๆตามกฎหมาย จึงมีสิทธิได้รับมรดกจากบิดาที่เสียชีวิตไป ในทางกลับกันถ้าอุบัติเหตุดังกล่าวมีผลทำให้ทารกในท้องเกิดเสียชีวิตลงหรือคลอดออกมาแล้วแต่ไม่มีการหายใจ(ไม่มีชีวิต)หรือก็คือนาง ข ได้แท้งลูกนั่นเอง เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย ทารกนั้นไม่มีสภาพบุคคลไม่มีสิทธิตามกฎหมาย จึงไม่อาจรับมรดกจากบิดาได้
2. สิทธิของทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา 
             ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 15 วรรคที่สอง กฎหมายได้ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิหรือประโยชน์ของทารกในครรภ์มารดาไว้ อย่างที่เราทราบกันว่าสิทธิและหน้าที่จะเริ่มขึ้นก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคลเกิดขึ้นแล้ว แต่ในกรณีของทารกในครรภ์มารดายังไม่ถือว่ามีการเริ่มสภาพบุคคลจึงยังไม่อาจมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ทารกนั้นก็อาจมีการเริ่มสภาพบุคคลในภายหน้าได้ หากคลอดออกมาแล้วมีชีวิตรอดเป็นทารก(ดูหัวข้อการเริ่มสภาพบุคคลประกอบ) ดังนั้นกฎหมายจึงให้การรับรองสิทธิของทารกในครรภ์มารดาไว้ เพื่อในภายหน้ามารกนั้นจะได้ถือเอาสิทธิหรือประโยชน์ที่มีขึ้นแก่ตนระหว่างที่ตนยังเป็นทารกในครรภ์นั้นได้
             ตัวอย่างเช่น นาย ก กับนาง ข ได้ทำการสมรสกัน นาง ข กำลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน ต่อมานาย ก สามีของนาง ข ประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย ซึ่งตามกฎหมายมรดกนั้น เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายผู้สืบสันดานย่อมมีสิทธิได้รับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม แต่บุตรของนาย ก นั้นยังเป็นทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา ยังไม่มีสภาพบุคคลจึงไม่อาจมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้ ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติรองรับเรื่องนี้ไว้ ก็จะกลายเป็นว่าบุตรนาย ก ไม่มีสิทธิรับมรดกของนาย ก แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 วรรคที่สอง ได้ให้การรับรองสิทธิของทารกตรงนี้ไว้ ดังนั้นหากภายหน้าบุตรของนาย ก สามารถคลอดออกมาแล้วมีชีวิตอยู่รอดได้ บุตรของนาย ก ก็ย่อมเข้าถือเอาสิทธิในการรับมรดกนี้ได้
              ในทางกลับกันถ้าบุตรของนาย ก ไม่สามารถคลอดออกมาแล้วมีชีวิตอยู่รอดเป็นทารกได้ กฎหมายก็ไม่รับรองสิทธิตรงนี้ให้ ก็ถือว่าบุตรของนาย ก ไม่มีสภาพบุคคลไม่อาจมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายได้ จึงไม่มีสิทธิที่จะรับมรดกของนาย ก
     สิทธิหรือประโยชน์ต่างๆของทารกในครรภ์มารดาที่กฎหมายให้การรับรองนั้น กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นเรื่องใด จึงเข้าใจได้ว่ากฎหมายให้ความรับรองและคุ้มครองเกี่ยวกับสิทธิและประโยชน์ของทารกนั้นในทุกๆเรื่อง เช่น ตัวอย่างข้างต้นนี้หากเพิ่มข้อเท็จจริงเข้าไปอีกเล็กน้อยคือ นาย ก ถึงแก่ความตายเนื่องจากถูกนาย ค ทำละเมิด ซึ่งตามกฎหมายนั้นกำหนดให้บิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร เมื่อบิดาถูกทำละเมิดจนถึงแก่ความตายกฎหมายจึงให้สิทธิแก่บุตรในการเลี้ยงร้องค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูจากผู้ทำละเมิดไว้ด้วย หากบุตรของนาย ก คลอดออกมาอยู่รอดเป็นทารกได้ ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูจากนาย ค ได้
ข้อสังเกต คำว่าอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 15 นี้ ขอเพียงมีชีวิตอยู่รอดได้(มีการหายใจ)ก็ถือว่าอยู่รอดเป็นทารกแล้ว ส่วนจะมีชีวิตอยู่กี่นาทีหรือกี่วินาทีเราไม่นำมาพิจารณาประกอบ เช่น เด็กชาย ก คลอดออกทั้งตัวและมีการหายใจแล้ว แต่ไม่กี่วินาทีก็เสียชีวิต เช่นนี้ก็ต้องถือว่าสภาพบุคคลเกิดขึ้นแล้ว ทารกนั้นสามารถมีสิทธิและหน้าที่ต่างๆตามกฎหมายได้ ซึ่งอาจส่งผลทางกฎหมายได้ ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆก็คือเรื่องมรดก เช่น นาย ก สมรสกับนาง ข ซึ่งนาง ข กำลังตั้งครรภ์อยู่ ต่อมานาย ก กับนาง ข ขับรถไปเที่ยวทะเลแต่เกิดประสบอุบัติเหตุ นาย ก เสียชีวิต ส่วนนาง ข เจ็บท้องใกล้คลอดเนื่องจากอุบัติเหตุดังกล่าว
1). หากทารกนั้นคลอดออกมาแต่ไม่มีชีวิต มรดกของนาย ก ก็จะตกแก่นาง ข แต่เพียงผู้เดียว
2). หากคลอดออกมาแล้วมีชีวิตอยู่รอด ทารกนั้นก็จะมีสิทธิได้รับมรดกของนาย ก ด้วย
3). หากคลอดออกมาแล้วมีชีวิตอยู่รอดได้เพียงไม่กี่วินาทีทารกนั้นก็เสียชีวิตลง เช่นนี้มรดกส่วนที่ทารกได้รับจากนาย ก นั้น ก็จะตกได้แก่นาง ข ผู้เป็นมารดาต่อไป
ลองสังเกตจะเห็นว่าข้อ 1).จะเป็นกรณีที่นาง ข ได้รับมรดกจากนาย ก โดยตรง แต่ข้อ 3). จะเป็นกรณีที่นาง ข ได้รับมรดกจากบุตรอีกทอดหนึ่ง(มรดกของบิดาส่วนที่ตกทอดได้แก่บุตรก็จะกลายเป็นทรัพย์สินของบุตรไป เมื่อบุตรเสียชีวิตทรัพย์สินของบุตรเป็นมรดกตกทอดได้แก่มารดา) ผลทางกฎหมายนั้นแตกต่างกันทั้งที่มีข้อเท็จจริงต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นคือเด็กคลอดแล้วไม่มีวิตกับเด็กคลอดแล้วมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วินาที
การสิ้นสภาพบุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 ได้วางหลักไว้ว่าสภาพบุคคลนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อคลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารกได้ และจะสิ้นสุดลงเมื่อบุคคลนั้นตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดการตายไว้สองประเภทคือ
1). การตายตามธรรมชาติหรือการตายธรรมดา ซึ่งเป็นการตายโดยสาเหตุต่างๆทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตายตามอายุขัย ตายเพราะเจ็บป่วย ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือการตายที่เกิดจากการฆาตกรรม ฯลฯในทางกฎหมายไม่ปรากฎว่าการตายต้องมีลักษณะอย่างไร จึงต้องอาศัยหลักวิชาการทางการแพทย์ ซึ่งในทางการแพทย์นั้นจะถือว่าบุคคลตายเมื่อ “แกนสมองตาย” แกนสมองเป็นส่วนของสมองที่ต่อเชื่อมไขสันหลังกับสมองใหญ่ ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของประสาทรัความรู้สึกต่างๆเข้าสู่สมองใหญ่ ดังนั้นหากก้านสมองตายจะทำให้บุคคลนั้นหมดความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ระบบสำคัญต่างๆในร่างกายมนุษย์ก็จะเริ่มหยุดทำงาน แม้จะมีเครื่องช่วยหายใจก็ตาม แต่หัวใจก็จะทำงาต่อได้อีก 48-72 ชั่วโมงเท่านั้นก็จะหยุดทำงาน แต่กรณีที่เพียงส่วนที่เป็นเปลือกสมองตาย โดยอาจมีสาเหตุมาจาก การขาดากาศชั่วคราว ได้รับบาดเจ็บจนเปลือกสมองได้รับความเสียหาย ฯลฯ ระบบต่างๆของร่างกายยังทำงานต่อได้ เพียงแต่บุคคลนั้นอาจไม่รู้สึกตัว เป็นเจ้าชายนิทรา แต่อาจรับรู้ความเจ็บปวดได้ ฯลฯ เช่นนี้ทางการแพทย์ยังไม่ถือว่าสมองตาย บุคคลนั้นยังไม่ตายในทางการแพทย์รวมไปถึงในทางกฎหมายด้วย
2). การสาบสูญหรือการตายโดยผลของกฎหมาย ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี
(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ใน การรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป
          (3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
หลักเกณฑ์ทั่วไปที่จะถือว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้น เมื่อพิจารณาจากมาตรา 61 วรรคแรกแล้วพอจะสรุปได้ดังนี้
บุคคลธรรมดาไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่
ไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือก็คือไม่มีใครทราบข่าวคราวหรือไม่มีผู้ใดพบเห็นบุคคลนั้น คำว่าไม่มีใครทราบข่าวคราวในที่นี้ หมายถึงคนในครอบครัว ผู้ที่รู้จัก หรือผู้ที่คอยติดตามข่าวคราวของบุคคลดังกล่าวนั้นอยู่ไม่มีใครได้รับข่าวคราวของบุคคลนั้นเลย
 เป็นระยะเวลาถึง 5 ปี หมายถึงบุคคลนั้นไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครพบเห็นหรือทราบข่าวคราวอีกเลยเป็นระยะเวลาถึง 5 ปี
 ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญจึงจะถือว่าบุคคลนั้นเป็นสาบสูญแล้ว ถ้าศาลยังไม่มีคำสั่งก็ยังไม่ถือว่าบุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ
การร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้น ผู้มีสิทธิร้องขอคือผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการ ผู้มีส่วนได้เสียนั้นคือผู้ที่อาจได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์ หรือได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิอย่างใดๆในการที่ศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้นเป็นผู้สาบสูญ เช่น บิดามารดา ทายาท หรือภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของบุคคลดังกล่าวที่ศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ซึ่งในเรื่องส่วนได้เสียนั้นเราอาจจะเห็นได้ชัดๆจากเรื่องมรดก หรือทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา ฯลฯ
ข้อสังเกต ผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสียซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนบ้าน เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ฯลฯ แม้จะร้องขอต่อศาลโดยตรงไม่ได้ แต่ก็อาจร้องขอต่อพนักงานอัยการให้ร้องขอแทนได้ ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่ามีเหตุผลอันสมควร ก็มีสิทธิร้องขอต่อศาลให้บุคคลใดๆนั้นเป็นคนสาบสูญได้
ต่อมาเมื่อพิจารณามาตรา 61 ในวรรคสองจะเห็นว่าความในวรรคสองเป็นการสาบสูญในกรณีพิเศษ ซึ่งกฎหมายวางหลักไว้ดังนี้
นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว คือ หากบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายตัวไปในเหตุการณ์ดังกล่าว นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลงเป็นระยะเวลา 2 ปี ถ้าไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือได้รับข่าวคราวของบุคคลเลย ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการก็ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญได้
นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป คือถ้าบุคคลนั้นเดินทางโดยยานพาหนะใดๆ แต่ยานพาหนะนั้นเกิดอับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป นับแต่วันที่เกิดเหตุนั้น 2 ปี ถ้าไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือได้รับข่าวคราวของบุคคลเลย ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการก็ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญได้
นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่กล่าวไว้ข้างต้นได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น เช่นเกิดเหตุไฟไหม้รุนแรง ตึกถล่ม หรือประสบภัยจากคลื่นสึนามิหรืออุทกภัย ฯลฯ หากบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายดังกล่าวนี้ เมื่ออันตรายนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว นับจากวันนั้น 2 ปี ถ้าไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือได้รับข่าวคราวของบุคคลเลย ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการก็ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญได้
ตัวอย่างที่ 1 นาย ก ออกจากบ้านไปทำธุระที่ต่างจังหวัดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 แล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาวันที่ 3 กันยายน 2548 นาย ข ญาติของนาย ก พบเห็นนาย ก อยู่ที่จังหวัดลพบุรีและได้บอกกล่าวให้ภรรยาของนาย ก ทราบ จนกระทั่งวันที่ 5 สิงหาคม 2550 ภรรยาของนาย ก ได้ยืนคำร้องต่อศาลให้ศาลมีคำสั่งให้นาย ก เป็นคนสาบสูญ ศาลจะสั่งให้นาย ก เป็นคนสาบสูญไม่ได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้วจะเห็นว่าในวันที่ 3 กันยายน 2548 นาย ข ได้พบเห็นนาย ก ที่จังหวัดลพบุรี จึงไม่ใช่กรณีที่นาย ก ไปเสียจากภูมิลำเนาและไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวใดๆเลยเป็นระยะเวลา 5 ปี ระยะเวลาต้องเริ่มนับจากวันที่นาย ข ได้พบเห็นนาย ก ใหม่ หากหลังจากนั้นไม่มีผู้ใดทราบข่าวคราวของนาย ก เลยเป็นเวลา 5 ปี จึงจะครบหลักเกณฑ์ในการร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย ก เป็นคนสาบสูญ  
ตัวอย่างที่ 2 นาง ข เดินทางโดยเครื่องบินโดยสารจากประเทศไทยไปอังกฤษ ขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่ระบบควบคุมก็เกิดปัญหาไม่สามารถควบคุมเครื่องบินต่อได้ ทำให้เครื่องบินตกลงสู่ทะเลมีผู้สูญหายและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยที่นาง ข นั้นไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลยหลังจากประสบภัยครั้งนั้น นับจากวันที่เครื่องบินตกเป็นเวลา 3 ปี นาย ก เจ้าหนี้ของนาง ข เกรงว่าตนอาจจะไม่ได้รับชำระหนี้ที่นาง ข กู้ยืมไป จึงยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ศาลมีคำสั่งให้นาง ข เป็นคนสาบสูญ เพื่อจะได้ให้ทายาทดำเนินการจัดการเรื่องหนี้สินของนาง ข เช่นนี้นาย ก ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามความหมายในมาตรา 61 เนื่องจากนาย ก เจ้าหนี้ไม่ใช่ผู้ได้หรือเสียประโยชน์จากการที่ศาลสั่งให้นาง ข เป็นคนสาบสูญ เนื่องจากนาย ก เจ้าหนี้มีวิธีดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับหนี้สินที่นาง ข ชำระหนี้ได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องให้ศาลมีคำสั่งให้นาง ข เป็นคนสาบสูญก่อน 
          เนื่องจากในกรณีนี้เป็นการสาบสูญในกรณีพิเศษ ระยะเวลาจึงลดลงมาเหลือเพียง 2 ปี ดังนั้นเมื่อไม่มีผู้ใดพบเห็นนาง ข อีกเลยมาเป็นเวลาถึง 3 ปีแล้ว ผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 61 ซึ่งอาจจะเป็นทายาทหรือสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนาง ข ก็ได้ ก็มีสิทธิร้องขอต่อศาลให้ศาลมีคำสั่งให้นาง ข เป็นคนสาบสูญ
ข้อสังเกต ถ้าเป็นสามีหรือภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่ กรณีนี้คงต้องดูเป็นรายๆไป ถ้าเป็นสามีหรือภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา ช่วยกันหาเงินร่วมกันประกอบกิจการ เช่นนี้ก็น่าจะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียได้ เพราะเมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญผู้เป็นสามีหรือภรรยานั้นก็ชอบที่จะได้รับส่วนแบ่งของตนที่ร่วมหากันมากับบุคลสาบสูญนั้น แต่ถ้าเป็นสามีภรรยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ช่วยกันประกอบกิจการหาเงินหารายได้ เช่นนี้ก็ไม่น่าจะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 61 ส่วนทายาทนั้นถ้าไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดก(คืออาจเป็นบุตรนอกสมรสที่บิดาไม่ได้รับรองว่าเป็นบุตร) ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 61 เช่นกัน
ผลของการที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 62 ดังนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 62 “บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่า ถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังที่ระบุไว้ใน มาตรา 61”
เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติของกฎหมายแล้วจะเห็นว่า กฎหมายให้ถือว่าบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้นถึงแก่ความตาย ทั้งๆที่ในความเป็นจริงบุคคลนั้นอาจจะตายแล้วหรือยังไม่ตายก็ได้  โดยให้ถือว่าบุคคลนั้นตายโดยผลของกฎหมาย(สาบสูญ)ตั้งแต่วันที่ครบกำหนดเวลาตามมาตรา 61 คือ 5 ปีในกรณีสาบสูญธรรมดาหรือ 2 ปีในกรณีสาบสูญแบบพิเศษ เมื่อกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ก็อาจก่อให้เกิดผลทางกฎหมายในเรื่องอื่นๆด้วย เช่นในเรื่องของการรับมรดก
ตัวอย่างเช่น นาย ก หายออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 โดยไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย จนกระทั่งวันที่ 25 มีนาคม 2550 ภรรยาของนาย ก จึงร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้นาย ก เป็นคนสาบสูญ เมื่อศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้นาย ก เป็นคนสาบสูญตามที่ภรรยาได้ร้องขอในวันที่ 10 เมษายน 2550 เช่นนี้จะต้องถือว่านาย ก ตายโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 62 ย้อนในวันที่ 2 มกราคม 2550 ไม่ใช่ถือว่าตายโดยผลของกฎหมายตั้งแต่วันที่ภรรยาของนาย ก ยื่นคำร้องขอต่อศาล หรือวันที่ศาลมีคำสั่ง
หากเพิ่มข้อเท็จจริงเข้าไปว่านาย ก มีบิดาอยู่ด้วย และได้เสียชีวิตลงในวันที่ 20 มีนาคม 2550 เช่นนี้เมื่อศาลสั่งให้นาย ก เป็นคนสาบสูญ ถือว่านาย ก ตายโดยผลของกฎหมายตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2550 ในวันเวลาดังกล่าวบิดานาย ก ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นมรดกก็จะตกได้แก่บิดาและภรรยาของนาย ก ตามส่วนที่กฎหมายกำหนดด้วย
ในกรณีที่ยังไม่ตายและบุคคลนั้นได้กลับมาแล้ว หรือปรากฏว่ามีผู้พบเห็นบุคคลดังกล่าวหลังจากที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้ว ผู้มีส่วนได้เสีย(ในกรณีนี้รวมไปถึงตัวผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญด้วย)หรือพนักงานอัยการก็มีสิทธิร้องขอต่อศาลและพิสูจน์ให้ศาลเห็น เพื่อให้ศาลถอนคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญนั้นก็ได้ (ตามมาตรา 63) และคำสั่งของศาลที่สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญหรือถอนคำสั่งที่สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้นต้องมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย (มาตรา 64) แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาก่อนจึงจะถือว่าคำสั่งมีผล คำสั่งนั้นมีผลตั้งแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งแล้ว ที่กฎหมายกำหนดให้ประกาศก็เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้รับทราบโดยทั่วกันเท่านั้น
หมายเหตุ ในระหว่างระยะเวลาที่บุคคลใดหายไปนั้น ถ้าบุคคลดังกล่าวได้ตั้งตัวแทนไว้ให้กระทำการใดๆแทนตน ก็ให้ตัวแทนนั้นดำเนินการตามนั้นไป แต่ถ้าไม่ได้มีการตั้งตัวแทนไว้ ผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือพนักงานอัยการก็อาจมีการร้องขอต่อศาลให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดไปพลางก่อนเพื่อจัดารทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่นั้นก็ได้รวมทั้งอาจร้องขอต่อศาลให้ตังผู้จัดการทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวนั้นก็ได้(ศึกษาเพิ่มเติมได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 48-60 โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่าไม่สำคัญมากนักเพราะกรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ จึงไม่ขออธิบายถึง)
     ผู้เยาว์ หมายถึง บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย เป็นบุคคลที่หย่อนความสามารถเพราะอายุ ร่างกาย หรือสติปัญญา ทำให้ขาดความสามารถในการจัดกิจการหรือทรัพย์สินของตนเอง หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่กิจการที่ตนจัดการได้ ดังนั้น กฎหมายจึงเข้ามาคุ้มครองการใช้สิทธิบุคคลดังกล่าวไว้ โดยกำหนดให้บุคคลที่เรียกว่า ผู้แทนโดยชอบธรรม เป็นผู้ที่เข้ามาควบคุมดูแลการทำนิติกรรมของผู้เยาว์จนกว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ หากบุคคลใดพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะแล้วจึงสามารถทำนิติกรรมต่างๆ ได้เอง โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
          โดยหลักบุคคลจะบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ตามกฎหมาย แต่บุคคลอาจบรรลุนิติภาวะได้โดยวิธีการอื่น กล่าวคือ หากผู้เยาว์ได้ทำการสมรสถูกต้องตามกฎหมาย ผู้เยาว์ก็ย่อมบรรลุนิติภาวะ แม้ว่าจะอายุไม่ครบยี่สิบปีบริบูรณ์ก็ตาม ซึ่งมีผลทางทางกฎหมายให้บุคคลดังกล่าวสามารถจัดกิจการและทรัพย์สินของตนเองได้ทุกอย่างเช่นเดียวกัน
1.    การบรรลุภาวะโดยอายุ ตามมาตรา 19 บัญญัติว่า
บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์
                   ระยะเวลาแห่งการเป็นผู้เยาว์ จึงหมายความถึง ระยะเวลาเริ่มต้นสภาพบุคคลเป็นเด็กทารกจนมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ในการนับอายุของบุคคลว่าครบยี่สิบปีบริบูรณ์เมื่อใดนั้น โดยหลักต้องคำนวณตามปฏิทินในราชการ ตามที่มาตรา 193/5 วรรค 1 บัญญัติว่า ถ้ากำหนดระยะเวลานับเป็นปี ให้คำนวณตามปีปฏิทินแม้จะกำหนดระยะเวลาเป็นปี ๆ ก็ให้นับคำนวณเป็นวันๆ ไป ตามที่มาตรา 193 บัญญัติว่า การคำนวณระยะเวลา ให้คำนวณเป็นวันไม่ใช่นับเป็นชั่วโมง หรือเป็นเดือนๆ หรือเป็นปีๆ และการนับวันนั้นจะต้องไม่นับวันแรกรวมเข้าไปด้วย ตามที่มาตรา 193/3 วรรค 2 บัญญัติว่า ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน
         ตัวอย่างเช่น ก. เกิดวันที่ 7 กันยายน 2520 การนับอายุของ ก. ว่ามีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์เมื่อใด ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2520 เป็นต้นไป ดังนี้ ก. จะพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะในวันที่ 8 กันยายน 2540
         การที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์เป็นบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะนั้น ก็เนื่องจากบุคคลดังกล่าวเป็นผู้หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรม เพราะเหตุที่อายุยังน้อย เป็นบุคคลที่ด้อยทางด้านความคิดหรือสติปัญญา กฎหมายจึงต้องเข้ามาคุ้มครองผู้เยาว์โดยกำหนดให้การทำนิติกรรมบางประเภทของผู้เยาว์ต้องมีบุคคลอื่นคือผู้แทนโดยชอบธรรมเข้ามาควบคุมดูแล โดยเฉพาะนิติกรรมที่อาจทำให้เสื่อมเสียสิทธิแก่ผู้เยาว์หรือทรัพย์สินของผู้เยาว์ เช่น การจำหน่ายทรัพย์สิน การกู้ยืมเงิน การเป็นลูกจ้างในสัญญาจ้างแรงงาน ฯลฯ เป็นต้น
2.    การบรรลุนิติภาวะโดยสมรสตามกฎหมาย ตามมาตรา 20 บัญญัติว่า
ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำตามบทบัญญัติมาตรา 1448”
          บทบัญญัตินี้เป็นข้อยกเว้นที่ให้ผู้เยาว์เป็นผู้บรรลุนิติภาวะก่อนอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ได้โดยการสมรส หากว่าชายและหญิงมีอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ หรือกรณีที่ชายและหญิงมีอายุน้อยกว่าสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ ทำการสมรสโดยได้รับอนุญาตจากศาลในกรณีที่ศาลเห็นว่ามีเหตุอันสมควร เช่น หญิงเกิดการตั้งครรภ์ ด้วยเหตุนี้ มาตรา 20 จึงเป็นบทบัญญัติที่เป็นข้อยกเว้นของมาตรา 19 ที่กำหนดว่าบุคคลจะบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ทั้งนี้เนื่องจากการที่ผู้เยาว์มีบุตรครอบครัวก็ย่อมต้องมีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูบุตร และใช้อำนาจปกครองบุตรตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องทำนิติกรรมต่างๆ ที่มีความจำเป็น มาตรานี้จึงกำหนดให้ผู้เยาว์เป็นผู้บรรลุนิติภาวะเมื่อได้ทำการสมรส ทั้งนี้เพื่อขจัดปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้เยาว์เองในการดูแลบุตรหรือครอบครัวของตน
         อนึ่ง การสมรสตามมาตรา 20 หมายความถึง การสมรสที่ได้ทำขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ ต้องมีการจดทะเบียนสมรส (มาตรา 1457) และต้องอยู่ในความยินยอมของบุคคล ดังต่อไปนี้ (มาตรา 1454)
1)      บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามาตรา
2)      บิดาหรือมารดา ในกรณีที่มีมารดาหรือบิดาตายหรือถูกถอนอำนาจปกครองหรือไม่อยู่ในสภาพหรือฐานะที่อาจให้ความยินยอม หรือโดยพฤติการณ์ผู้เยาว์ไม่อาจขอความยินยอมจากมารดาหรือบิดาได้
3)      ผู้รับบุตรบุญธรรม ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม
4)      ผู้ปกครองในกรณีที่ไม่มีบุคคลซึ่งอาจให้ความยินยอมตาม (1) (2) และ (3) หรือมี แต่บุคคลดังกล่าวถูกถอนอำนาจปกครอง
          ข้อสังเกต
1.    หากชายและหญิงยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองแล้วแต่กรณี การให้ความยินยอม ให้แล้วถอนไม่ได้ การสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอม บุคคลผู้มีส่วนได้เสียร้องขอให้เพิกถอนการสมรสได้ หากไม่มีการร้องขอให้เพิกถอน ชายและหญิงนั้นก็ย่อมบรรลุนิติภาวะ
2.    การสมรสที่ทำขึ้นผิดหลักเกณฑ์บางประการ แต่เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนสมรสให้แล้ว การสมรสก็ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ชายหรือหญิงคนใดคนหนึ่งอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ แต่จะสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ อาจถูกเพิกถอนได้ในภายหลัง ตราบใดที่ยังไม้ได้ถูกเพิดถอน ผู้ใดจะอ้างว่าการสมรสนั้นเป็นโมฆะหรือโมฆะไม่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 1320/2506 การที่คู่สมรสหย่าขาดจากกันก่อนอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เช่น หย่าขาดจากกันโดยความยินยอม หรือโดยคำพิพากษาของศาล หรือคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย ก็ไม่เป็นเหตุให้เสื่อมเสียสิทธิแก่บุคคลนั้น และยังถือว่าคู่สมรสนั้นบรรลุนิติภาวะ

นิติบุคคล
นิติบุคคล คือ กลุ่มบุคคลหรือองค์กรซึ่งกฎหมายบัญญัติให้เป็นบุคคลอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่บุคคลธรรมดา และให้มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542) สามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ เป็นโจทก์หรือจำเลยได้ รวมทั้งได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ฯลฯ    
นิติบุคคลจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่ออาศัยอำนาจตามกฎหมายเท่านั้น คือจะตั้งก่อขึ้นโดยไม่มีกฎหมายมารองรับหรือไม่มีกฎหมายให้อำนาจในการจัดตั้งไว้ไม่ได้ ซึ่งบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา  65 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “นิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น” 
1. อาศัยอำนาจแห่งประมวลกฎหมายนี้ หมายถึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง ซึ่งมีบัญญัติไว้หลายประเภท เช่น ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหากได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ให้ถือว่าเป็นนิติบุคคล(มาตรา 1015) ได้แก่ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด หรือสมาคมที่ได้จดทะเบียนแล้วถือเป็นนิติบุคคล(มาตรา 83) มูลนิธิที่ได้จดทะเบียนแล้ว(มาตรา 122)  
2. อาศัยอำนาจตามกฎหมายอื่นๆ คือ กฎหมายที่นอกเหนือจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471 มาตรา 18 กำหนดให้สหกรณ์ที่จดทะเบียนแล้วเป็นนิติบุคคล พระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ. 2490 มาตรา 5 กำหนดให้มัสยิดซึ่งได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วเป็นนิติบุคคล ฯลฯ         
นิติบุคคลแต่ละประเภทจะมีลักษณะและการดำเนินกิจการที่แตกต่างกันออกไป เช่น ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทก็จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินกิจการและหวังผลกำไรมาแบ่งปันกัน สมาคมก็จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการใดๆอันมีลักษณะต่อเนื่องร่วมกันและไม่มีการหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน ฯลฯ เมื่อกลุ่มบุคคลหรือองค์กรใดๆที่จัดตั้งขึ้นมีสถานะเป็นนิติบุคคลแล้ว ย่อมถือเกิดเป็นบุคคลตามกฎหมายขึ้นมาต่างหาก มีสิทธิและหน้าที่ต่างๆได้ในนามของนิติบุคคลนั้นๆ
ตัวอย่าง นาย ก นาย ข และนาย ค รวมหุ้นกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด ดำเนินกิจการขายอุปกรณ์ก่อสร้าง โดยใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญยิ่ง เช่นนี้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญยิ่งถือเป็นบุคคลตามกฎหมาย มีสิทธิต่างๆได้ในนามของห้าง ไม่ต้องไปใช้นามของหุ้นส่วนแทนในการดำเนินกิจการใดๆของห้าง เช่น หากห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญยิ่งทำสัญญาซื้อขายอุปกรณ์ก่อสร้างกับนาย ง ถือว่า คู่สัญญาซื้อขายนี้คือห้างหุ้นส่วนจำกัดกับนาย ง ไม่ใช่ นาย ก นาย ข และนาย ค เป็นคู่สัญญาซื้อขาย ถ้ามีการผิดสัญญาเกิดขึ้นก็ต้องฟ้องในนามของห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยให้ตัวแทนของห้างดำเนินการ คือห้างมีฐานะเป็นโจทก์ได้ หรือในทางกลับกันถ้าห้างหุ้นส่วนจำกัดผิดสัญญา นาย ง ก็จะต้องฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดเป็นจำเลย ไม่ใช่ฟ้องนาย ก นาย ข และนาย ค เป็นจำเลย เป็นต้น
สิทธิหน้าที่ของนิติบุคคลสิทธิและหน้าที่ของนิติบุคคลแบ่งเป็น 2 ประการ คือ         
1. สิทธิและหน้าที่ภายในขอบอำนาจหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ ซึ่งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 66 บัญญัติว่า “นิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ภายในขอบแห่งอำนาจหน้าที หรือวัตถุประสงค์ดังได้บัญญัติหรือกำหนดไว้ในกฎหมาย  ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง” คือนิติบุคคลจะมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมาย ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งกำหนดไว้เท่านั้น เช่น สมาคมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการกีฬาก็จะไปดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไม่ได้ ฯลฯ
ข้อสังเกต ตราสารจัดตั้งจะมีการระบุวัตถุประสงค์หรือลักษณะของกิจการของนิติบุคคลนั้นๆไว้
2. สิทธิและหน้าที่ซึ่งว่าโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดา ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 67 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 66 นิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เว้นแต่สิทธิและหน้าที่ซึ่งโดย สภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น” คือมีสิทธิและหน้าที่เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดา เช่น สิทธิในการมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองไม่ให้ใครมาทำละเมิด หน้าที่ในการเสียภาษี ฯลฯ เว้นแต่สิทธิหน้าที่บางประการที่มีได้เฉพาะในบุคคลธรรมดาเท่านั้น การสมรส การรับราชการทหาร สิทธิทางการเมือง ฯลฯ
การจัดการนิติบุคคล เนื่องจากนิติบุคคลเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นตามกฎหมาย ไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่อาจแสดงเจตนาหรือกระทำการใดๆด้วยตนเองได้ จึงต้องมีผู้แทนคอยดำเนินการให้ ตามมาตรา 70 วรรคสอง บัญญัติว่า “ความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงออกโดยผู้แทนของนิติบุคคล” 
ผู้แทนนิติบุคคลอาจมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ตามที่กฎหมาย ข้อบังคับ หรือตราสารจัดตั้งจะกำหนดไว้(มาตรา 70 วรรคแรก) อีกทั้งมีอำนาจหน้าที่ตามกำหนดไว้ในกฎหมาย ข้อบังคับ หรือตราสารจัดตั้งเช่นกัน การดำเนินการของผู้แทนจะต้องกระทำไปภายในขอบเขตของวัตถุประสงค์ของนิติบุคคลนั้นเท่านั้นจึงจะมีผลผูกพันนิติบุคคล หรือกรณีที่การกระทำของผู้แทนภายใต้ขอบวัตถุประสงค์ของทำละเมิดแก่บุคคลอื่น นิติบุคคลนั้นต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกด้วยเมื่อได้รับผิดแล้วกฎหมายให้สิทธิไปไล่เบี้ยเอาแก่ผู้แทนได้(มาตรา 76) ฯลฯ ส่วนความเกี่ยวพันตามกฎหมายระหว่างผู้แทนกับนิติบุคคล ระหว่างผู้แทนกับบุคลภายนอกหรือระหว่างนิติบุคคลกับบุคคลภายนอกนั้นให้นำกฎหมายว่าด้วยตัวการตัวแทนมาใช้บังคับโดยอนุโลม(ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียดในภายหลัง) เช่น ถ้าเป็นเรื่องผู้แทนกระทำโดยนอกขอบวัตถุประสงค์ กระทำโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจผู้แทนต้องรับผิดโดยลำพัง ไม่ผูกพันห้าง หรือถ้าการกระทำนอกเหนือขอบวัตถุประสงค์ก่อให้เกิดการละเมิดหรือเป็นการทำละเมิดโดยส่วนตัว นิติบุคคลไม่ต้องรับผิด ฯลฯ
การสิ้นสภาพของนิติบุคคล การสิ้นสภาพบุคคลของนิติบุคคล คือการที่นิติบุคคลนั้นไม่อาจดำรงความเป็นนิติบุคคลนั้นต่อไปได้ มีผลทำให้สิทธิและหน้าที่ต่างๆของนิติบุคลนั้นเป็นอันหมดสิ้นและไม่ถือเป็นบุคคลตามกฎหมายต่อไป นิติบุคคลนั้นถือเป็นบุคคลที่กฎหมายสมมติขึ้น ไม่มีชีวิตจิตใจเช่นบุคคลธรรมดา ไม่อาจสิ้นสภาพบุคคลโดยอาศัยการตายหรือสาบสูญได้ แต่อย่างไรก็ดี นิติบุคคลอาจสิ้นสภาพด้วยเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ 
1.สิ้นสภาพตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับ หรือตราสารจัดตั้ง เช่น กำหนดไว้ในตราสารจัดตั้งว่าจะดำเนินการจนกว่าจะครบ 5 ปี เมื่อครบ 5 ปีแล้วนิติบุคคลนั้นย่อมสิ้นสภาพไป
2.โดยสมาชิกตกลงเลิก คือการที่สมาชิกยินยอมร่วมกันที่จะทำการเลิกนิติบุคคลนั้น
3.โดยผลของกฎหมาย คือมีกฎหมายกำหนดไว้ว่านิติบุคคลย่อมเลิกกันเมื่อเกิดเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น เช่น กฎหมายกำหนดให้ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนเลิกกันเมื่อผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งตายหรือล้มละลาย(มาตรา 1055) หรือเมื่อห้างหุ้นส่วนนั้นล้มละลาย(มาตรา 1069)
          4.โดยคำสั่งศาล เช่น ศาลอาจสั่งให้เลิกห้างหุ้นส่วนสามัญได้ ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนร้องขอ(มาตรา 1057)
หมายเหตุ มาตราต่างๆที่อ้างอิงมาทั้งหมดนั้นจะอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เสียเป็นส่วนใหญ่ กฎหมายที่ไม่ได้อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ผู้รวบรวมจะบอกกำกับไว้ต่างหาก

สาบสูญ (Disappearance)
สาบสูญ คือ การสิ้นสภาพบุคคลโดยผลของกฎหมาย บุคคลใดที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้วนั้น กฎหมายถือว่าถึงแก่ความตาย ทั้งๆที่ความจริง แล้วบุคคลนั้นอาจจะยังไม่ตายก็ได้ โดยปกติบุคคลถึงแก่ความตายเมื่อใด สภาพบุคคลก็สิ้นสุดเมื่อนั้น ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อไม่รู้ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตหรือตายแล้ว
ระยะแรก เป็นระยะที่บุคคลผู้นั้นหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่ส่งข่าวคราวและไม่มีผู้ใดพบเห็นเลยนั้น สันนาฐานไว้ก่อนว่าบุคคลนั้นยังไม่ตาย บุคคลผู้นี้คือ ผู้ไม่อยู่ (ผู้ไม่อยู่ คือ บุคคลที่ไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยมิได้ตั้งตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทั่วไปไว้ และไม่มีใครรู้ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่)
ระยะที่สอง หลังจากบุคคลผู้นั้นหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นระยะเวลานานพ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ กรณีธรรมดา5ปี กรณีพิเศษ2ปี บุคคลเหล่านี้อาจถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ และเป็นบุคคลที่ถึงแก่ความตายทางกฎหมาย
ระยะเวลาที่ถือว่าผู้ไม่อยู่ถูกศาลสั่งเป็นคนสาบสูญ ในระยะแรกเป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่า ผู้ไม่อยู่จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ สิทธิและหน้าที่ต่างๆของตนในกองทรัพย์สินยังมีอยู่  เพียงแต่ว่าผู้ไม่อยู่ไม่สามารถมาดำเนินกิจการนั้นได้ด้วยตนเอง ดังนี้หากระยะเวลาเนิ่นนานเข้าจนถึงกำหนดระยะเวลาที่ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักอัยการอาจร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งให้ผู้ไม่อยู่เป้นคนสาบสูญก็ได้ซึ่งมีผลให้ผู้ไม่อยู่ถึงถึงแก่ความตายโดยผลของกฎหมาย เพียงแต่การสาบสูญเป็นการสิ้นสภาพบุคคลที่ไม่เด็ดขาด  ซึ่งศาลอาจมีคำสั่งให้เพิกถอนได้หากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายในเวลาอื่นผิดจากระยะเวลาที่กฎหมายบัญญัติไว้ และเมื่อบุคคลใดได้ไปจากภุมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ย่อมมีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่  แต่หากให้ผู้จัดการทรัพย์สินดูแลทรัพย์สินไปเรื่อยๆนั้นไม่อาจจะรู้ได้ว่าผู้ไม่อยู่จะกลับมาเมื่อใด เพื่อเป็นการยุติปัญหานี้กฎหมายจึงบัญญัติเรื่องสาบสูญไว้
1. หลักเกณฑ์ของการเป็นคนสาบสูญ
    ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา61 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ของการเป็นคนสาบสูญไว้ดังนี้
             มาตรา 61   ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปีเมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้
             ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี
             (1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลงถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
             (2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางอับปางถูกทำลายหรือสูญหายไป
             (3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไปถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
             จากมาตรา61 เป็นระยะเวลาที่ผู้ไม่อยู่หายไปจนครบกำหนดเวลาที่จะขอให้เป็นคนสาบสูญ เนื่องจาบุคคลไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลานานพอสมควร โอกาสที่จะมีโอกาสรอดชีวิตกลับมาจึงน้อยมาก กฎหมายจึงสันนิษฐานว่าบุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ โดยแบ่งแยกเป็นหลักเกณฑ์ได้ดังนี้

1.  บุคคลนั้นได้หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่ได้รับข่าวคราวเป็นเวลา5ปี ในกรณีธรรมดา หรือเป็นเวลา2ปี ในกรณีพิเศษ
2. ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งว่า บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ
3. ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

นิติกรรมสัญญา
ความหมายของนิติกรรม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 149  บัญญัติว่า
                    นิติกรรม  หมายความว่า  การใดๆอันทำลงไปโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร  มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล  เพื่อจะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  หรือระงับซึ่งสิทธิ
                    จากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย  มาตรา  149  สามารถแยกองค์ประกอบได้ดังนี้
1. การใด ๆ อันทำลง  หมายถึง  การกระทำโดยแสดงเจตนาออกมาให้ปรากฏไม่ว่าจะโดยชัดแจ้ง  ปริยายหรือนิ่ง  เพื่อให้บุคคลอื่นได้รับรู้ว่าตนต้องการอะไร  ซึ่งมีวิธีการที่จะแสดงเจตนาออกมาได้หลายรูปแบบ  เช่น  พูด  เขียน  หรือการแสดงท่าทางอย่างใดอย่างหนึ่ง  เป็นต้น
                   ข้อสังเกตโดยหลักแล้ว  การนิ่ง  ไม่ถือว่าเป็นการแสดงเจตนา  แต่มีข้อยกเว้นที่ให้การนิ่งถือเป็นการแสดงเจตนา  กรณี  คือ
                       1)  มีบทบัญญัติกฎหมายโดยชัดแจ้ง  หมายความว่าในเรื่องนั้นกฎหมายได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่าต้องแสดงเจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา  จะอยู่นิ่งมิได้  ถ้านิ่งเสียถือได้ว่าแสดงเจตนาทำนิติกรรมแล้ว  ตัวอย่างเช่น  ป..มาตรา  570  ได้กำหนดไว้ในเรื่อง  เช่าทรัพย์ “  อันมีสาระสำคัญว่า  เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว  ถ้าทั้งผู้ให้เช่าและผู้เช่านิ่งเฉย  ให้ถือว่าเป็นการทำสัญญากันใหม่  ไม่มีกำหนดเวลา  ดังนี้ถือว่ากฎหมายได้บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วกล่าวคือ  ถ้าครบกำหนดเช่าแล้วผู้เช่าต้องบอกกล่าวแสดงเจตนาหากว่าตนประสงค์ต้องการให้สัญญาสิ้นสุด  ไม่เช่นนั้นจะมีผลทางกฎหมาย  คือ  การนิ่งเช่นนี้เท่ากับเป็นการทำสัญญาขึ้นใหม่
                       2)  มีขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติกันอยู่โดยชัดแจ้ง  ตัวอย่างเช่น  พ่อค้าขายหมูที่ตลาดทำสัญญากับโรงฆ่าสัตว์  ว่าให้นำหมูมาส่งที่เขียงหมูเท่านั้นเท่านี้ทุกเช้า  การทำสัญญาเช่นนี้หาจำต้องทำทุกวันไม่  ถือได้ว่าเป็นประเพณีปฎิบัติที่รู้กันว่า  โรงฆ่าสัตว์ต้องนำเอาหมูมาส่งที่เขียงหมูทุกวันจำนวนเท่าใด
          2.  การแสดงเจตนาโดยใจสมัคร หมายถึง ผู้แสดงเจตนานั้นต้องสมัครใจที่จะแสดงเจตนาออกมา กล่าวคือ ต้องรู้สึกตัว  มีสติสัมปชัญญะ จึงถือได้ว่าการแสดงเจตนานั้นเป็นนิติกรรม  ดังนั้นหากปรากฏว่าผู้แสดงเจตนาไม่สมัครใจ  เช่น ถูกสะกิดจิต ละเมอ  เช่นนี้  ถือว่าไม่มีนิติกรรมใดๆเกิดขึ้นเลย ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่กรณีถูกฉ้อฉล และถูกข่มขู่ ถือว่านิติกรรมเกิดขึ้นแล้ว  แต่นิติกรรมมีผลเป็นโมฆียะ สามารถบอกล้างให้ตกเป็นโมฆะ หรือ ให้สัตยาบันทำให้สมบูรณ์ขึ้นมได้  ซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไปภายหลัง
          3.  การแสดงเจตนาต้องชอบด้วยกฎหมาย  หมายความว่า  การกระทำหรือการแสดงเจตนานั้นต้องชอบด้วยกฎหมาย  ไม่ขัดต่อกฎหมาย  แต่ทั้งนี้มิได้หมายรวมถึงวัตถุประสงค์ของนิติกรรมต้องชอบด้วยกฎหมาย  กล่าวคือ  แม้วัตถุประสงค์ของนิติกรรมจะมิชอบด้วยกฎหมาย  แต่หากวิธีแสดงเจตนาถูกกฎหมายก็เป็นนิติกรรมได้  ส่วนจะสมบูรณ์หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  เช่น  นายเดียร์จ้างนางเหน่งให้ไปทำร้ายนางม่อย  การที่นายเดียร์ทำสัญญาจ้างนางเหน่งสัญญาจ้างไม่ขัดต่อกฎหมาย  แต่วัตถุประสงค์ของสัญญาจ้างขัดต่อกฎหมาย  คือไปทำร้ายร่างกายนางม่อยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เช่นนี้นิติกรรมตกเป็นโมฆะตาม มาตรา 150 ที่กำหนดว่า  การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายการนั้นตกเป็นโมฆะ
          4. ผู้แสดงเจตนามุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล  หมายถึง  มีความมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดผลในทางกฎหมาย  ดังนั้น  คำปรารภ  พูดล้อเล่น  การแสดงอัธยาศัยไมตรีทางสังคม  เช่น  ชวนทานข้าว  เช่นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการก่อให้เกิดความผูกพันตามกฎหมายจึงไม่เป็นนิติกกรรม  ยกตัวอย่างเช่น
             1) การแสดงเจตนารับรองลายพิมพ์นิ้วมือ  ไมใช่นิติกรรม  เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์
             2) การครอบครองปรปักษ์ที่ดินมิใช่นิติกรรม  เพราะผู้ครอบครองไม่ได่มุ่งนิติสัมพันธ์กับเจ้าของที่ดิน  เพียงแต่ต้องการแย่งการครอบครองกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย
          5. มีการเคลื่อนไหวในสิทธิ  โดยการก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  หรือ ระงับซึ่งสิทธินั้น
                       สิทธิ  คือ  ประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครอง  อันก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นที่ต้องเคารพสิทธิของผู้ทรงสิทธิ์นั้น  สิทธิที่บุคคลจะทำนิติกรรมก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิอาจเป็นบุคคลสิทธิ  หรือ  ทรัพยสิทธิ  หรือสิทธิอย่างอื่นในทางแพ่งก็ได้
                       ลักษณะแห่งการเคลื่อนไหวสิทธินี้  จำแนกเป็น  5 ลักษณะ  คือ
             1) ก่อสิทธิ  เช่น แดง ทำสัญญากู้ยืมเงิน ขาว 500,000 บาท  การกระทำเช่นนี้เป็นนิติกรรมก่อให้เกิดสิทธิขึ้นระหว่างกันตามสัญญากู้ยืมเงิน
        2) เปลี่ยนแปลงสิทธิ  เช่น  จากตัวอย่างข้างต้น  หากภายหลังทั้งแดงและขาวตกลงกันว่าให้  แดง  ชำระหนี้ด้วยลูกวัว  5 ตัวเช่นนี้ข้อตกลงในภายหลังเป็นการเปลี่ยนแปลงสิทธิเรียกร้องจากเงินเป็นลูกวัว 50 ตัว
             3) โอนสิทธิ  เช่น จากตัวอย่างช้างต้น  หากภายหลัง  ทั้งแดงและขาว  ตกลงว่า  ขาว จะโอนสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้ โดยทำเป็นหนังสือให้แก่  ดำ  การกระทำเช่นนี้ถือว่า  ขาว  โอนสิทธิเรียกร้องของตนที่มีต่อแดงให้แก่  ดำ  แล้ว
             4) สงวนสิทธิ  เช่น  จากตัวอย่างเดียวกัน  ขาว เจ้าหนี้เงินกู้ ของแดง ทำสัญญารับดำเข้าเป็น ผู้ค้ำประกัน เงินกู้ สัญญาที่ขาวรับดำเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันเป็นนิติกรรมสงวนสิทธิ
             5) ระงับสิทธิ  เช่น ตามตัวอย่างเดียวกัน  หากภายหลัง  แดงนำเงินมาชำระหนี้ครบถ้วน  หรือขาวแสดงเจตนาปลดหนี้  การกระทำของแดงผู้เป็นลูกหนี้ หรือของขาวผู้เป็นเจ้าหนื้ แต่ละกรณีเช่นว่ามานี้เป็นนิติกรรมระงับสิทธิของเจ้าหนี้
การกระทำหรือการแสดงเจตนาที่มีลักษณะครบองค์ประกอบทั้ง  5  ข้อที่กล่าวมานี้ย่อมถือได้ว่าเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์  ตามความแห่ง มาตรา 149  หากปรากฏว่าขาดตกบกพร่องไปบางข้อขององค์ประกอบย่อมไม่ใช่นิติกรรมที่สมบูรณ์ตาม มาตรา 149
 นิติกรรมและนิติเหตุ
นิติกรรม  ได้แก่  การกระทำใดๆของบุคคล  อันเกิดจากการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายโดยมีเจตนามุ่งที่จะทำให้การกระทำของตนเกิดผลทางกฎหมาย
นิติเหตุ  ได้แก่  เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดผลทางกฎหมาย  ซึ่งอาจเกิดจากเหตุการณ์ตามธรรมชาติ  หรือ  การกระทำของบุคคล  ซึ่งสามารถแยกประเภทของนิติเหตุได้ดังต่อไปนี้
1. นิติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการกระทำของบุคคล  แบ่งเป็น
                   1) เหตุการณ์ตามธรรมชาติ  คือ  เหตุการณ์ซึ่งมิได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์และอยู่นอกเหนือเจตนาของมนุษย์ก็ได้  ในบางครั้งก็ไม่มีความสำคัญเลยในทางกฎหมาย  เช่น  ฝนตก  แดดออก  การเกิด  การตาย  การผ่านไปของระยะเวลา  แต่ในบางกรณีถ้ากลายเป็นเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิที่มีความสำคัญทางกฎหมายได้ 
           ตัวอย่าง
                1. การเกิดของบุคคล ทำให้เริ่มสภาพบุคคล  เกิดสิทธิต่างๆของบุคคลขึ้นตามกฎหมาย  ( มาตรา 15 วรรคหนึ่ง )
                2. บุคคลมีอายุครบ  20  ปีบริบูรณ์  ทำให้บรรลุนิติภาวะ  สิทธิในการทำนิติกรรมจึงเกิดมีขึ้น  สามารถทำได้โดยลำพัง (มาตรา 19,20,21)
                3. การตายของบุคคล ทำให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลง  ทรัพย์มรดกจึงตกทอดแก่ทายาท 
(มาตรา 1599 วรรคหนึ่ง )
                4. การเกิดที่งอกริมตลิ่ง  ทำให้เจ้าของที่ดินมีกรรมสิทธิ์ในที่งอกนั้น (มาตรา 1308 )
                5. ระยะเวลาได้ผ่านพ้นไปจนครบกำหนดอายุความตามกฎหมายโดยไม่มีการใช้สิทธิเรียกร้อง  ทำให้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความ  ลูกหนี้มีปฏิเสธการชำระหนี้ได้ (มาตรา 193/9, 193/10)
           เหตุอันเกิดจากทรัพย์ 
                คือ  กรณีที่เหตุมิได้เกิดจากการกระทำของบุคคล  หากแต่เกิดจากเหตุการณ์ที่ทรัพย์ซึ่งมีบุคคลเป็นเจ้าของ  หรือ  ผู้ครอบครอง  ตัวอย่างเช่น  ความเสียหายอันเกิดการกระทำของสัตว์  ผู้เป็นเจ้าของหรือบุคคลผู้รับเลี้ยงไว้แทนเจ้าของ  จะต้องมีหน้าที่ที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายจากการกระทำของสัตว์นั้นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
                1. นิติเหตุที่เกิดจากการกระทำของบุคคล คือ  กรณีการกระทำของบุคคลซึ่งเดิมเป็นเหตุการณ์ธรรมดาไม่มีผลทางกฎหมาย  อาจกลายเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิอันมีผลทางกฎหมาย  ซึ่งมีผลทางกฎหมาย  2  ประการ  คือ
                ประการที่ 1 การกระทำที่เกิดผลเองโดยชอบด้วยกฎหมาย นิติเหตุประเภทนี้เกิดจากการกระทำของบุคคลอันชอบด้วยกฎหมาย  โดยผู้กระทำจะมีเจตนามุ่งที่จะให้เกิดผลในกฎหมายหรือไม่  ไม่เป็นข้อสำคัญ  เมื่อได้กระทำตามบทบัญญัติของกฎหมาย  ผลทางกฎหมายจึงเกิดขึ้น  ซึ่งต่างจากนิติกรรมตรงที่ว่านิติกรรมนั้นผักระทำต้องมีเจตนามุ่งต่อผล  ผลจึงเกิดขึ้นตามเจตนาที่แสดงออก เช่น  ในเรื่องจัดการงานนอกสั่ง  ถ้าบุคคลใดได้เข้าจัดการงานของผู้อื่น  แม้จะมิได้มีความมุ่งหมายเช่นนั้น  ผัที่เข้าไปจัดการงานแทนย่อมมีสิทธิเรียกให้ใช้สิ่งของ  หรือชดใช้เงิน  อันเกิดจากการกระทำของตนอันชอบด้วยกฎหมาย
                ประการที่ 2 การกระทำอันเกิดผลอันมิชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่  กรณีบุคคลได้กระทำโดยจงใจ  หรือ  ประมาทเลินเล่อ  ต่อบุคคลอีกคนหนึ่งโดยผิดกฎหมาย  ให้เสียหายถึงต่อชีวิต  ร่างกาย  อนามัย  เสรีภาพ  ทรัพย์สิน  หรือสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง  ซึ่งการกระทำประเภทนี้ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิอันเรียกว่า  ละเมิด  ซึ่งมีผลทางกฎหมายคือ  ผู้กระทำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกกระทำละเมิด  แม้ผู้กระทำจะมิได้ประสงค์ให้เกิดผลทางกฎหมายก็ตาม
ประเภทของนิติกรรม    
1. นิติกรรมฝ่ายเดียว  กับ  นิติกรรมสองฝ่าย
                  1)  นิติกรรมฝ่ายเดียว  คือนิติกรรมอันเกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายเดียว  เมื่อได้แสดงเจตนาแค่ฝ่ายเดียวแล้วนิติกรรมเกิดผลทันที  นิติกรรมฝ่ายเดียวยังแยกเป็น
                       1.1)  นิติกรรมฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัด  คือ  เมื่อมีการแสดงเจตนาออกมาก็เป็นนิติกรรมทันที  เช่น  พินัยกรรม , คำมั่นจะให้รางวัล  เป็นต้น
                       1.2)  นิติกรรมฝ่ายเดียวซึ่งต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา  คือ  จะเป็นนิติกรรมได้ต้องกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  เช่น  การเลิกสัญญา  คำเสนอหรือคำสนอง  เป็นต้น
                  2)  นิติกรรมสองฝ่าย  คือ  นิติกรรมที่เกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาตั้งแต่  2  ฝ่ายขึ้นไปและในแต่ละฝ่ายจะเป็นบุคคลคนเดียวหรือหลายคนรวมเป็นฝ่ายเดียวก็ได้  นิติกรรมประเภทนี้การแสดงเจตนาจะกระทำเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้  กล่าวคือ  ต้องมีฝ่ายผู้เสนอและอีกฝ่ายเป็นผู้สนองรับ  ตัวอย่างเช่นในเรื่อง  สัญญา  นิติกรรมหลายฝ่ายนี้ตาม  ป.พ.พ.  คือ  เอกเทศสัญญา  เช่น  สัญญาซื้อขาย
              2. นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่  กับ  นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว
                  1)  นิติกรรมที่มีผลเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่  คือ  นิติกรรมที่ผู้ทำมีความประสงค์ให้เกิดผลในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่  ซึ่งอาจเป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว  หรือหลายฝ่ายก็ได้  เช่น  สัญญาซื้อขาย  คำมั่นจะให้รางวัล  เป็นต้น
                  2)  นิติกรรมมีผลเมื่อผู้ทำตายแล้ว  คือ  นิติกรรมที่เมื่อขณะทำแม้จะเกิดผลสมบูรณ์  แต่ก็ยังไม่มีผลจนกว่าผู้ทำนิติกรรมจะถึงแก่ความตาย  เช่น  พินัยกรรม
              3. นิติกรรมที่มีค่าตอบแทน  กับ  นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน
                  1)  นิติกรรมที่ค่าตอบแทน  คือ  นิติกรรม  2  ฝ่าย  ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ตอบแทนซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สิน ประโยชน์ หรือการชำระหนี้ตอบแทนก็ได้  ซึ่งได้บัญญัติไว้ใน  ป.พ.พ. บรรพ 3 ซึ่งเป็นเอกเทศสัญญาซึ่งมีลักษณะของสัญญาที่มีค่าตอบแทน  เช่น สัญญาซื้อขาย , สัญญาเช่าทรัพย์ และรวมถึงสัญญาอันเกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคล เช่น สัญญาเล่นแชร์เปียหวย สัญญาต่างตอบแทนนั้นเป็นนิติกรรมที่มีค่าตอบแทนเสมอ  แต่ในบางกรณีนิติกรรมที่มีค่าตอบแทนอาจมิใช่สัญญาต่างตอบแทนได้
                  2)  นิติกรรมที่ไม่มีค่าตอบแทน คือ นิติกรรมที่ทำให้เปล่าไม่มีค่าตอบแทน เช่น  สัญญาให้โดยเสน่หา พินัยกรรม เป็นต้น
     นิติกรรมฝ่ายเดียว ได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวและมีผลตามกฎหมาย ซึ่งบางกรณีก็ทำให้ผู้ทำนิติกรรมเสียสิทธิได้ เช่น การก่อตั้งมูลนิธิ คำมั่นโฆษณาจะให้รางวัล การรับสภาพหนี้ การผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ คำมั่นจะซื้อหรือจะขาย การทำพินัยกรรม การบอกกล่าวบังคับจำนอง เป็นต้น
     นิติกรรมสองฝ่าย (นิติกรรมหลายฝ่าย) ได้แก่ นิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นโดยการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปและทุกฝ่ายต้องตกลงยินยอมระหว่างกันกล่าวคือฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาทำเป็นคำเสนอ แล้วอีกฝ่ายหนึ่งแสดงเป็นเจตนาเป็นคำสนอง เมื่อคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกันจึงเกิดมีนิติกรรมสองฝ่ายขึ้นหรือเรียกกันว่า สัญญา เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญากู้ยืม สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาขายฝาก จำนอง จำนำ เป็นต้น
     ความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรมสัญญา โดยหลักทั่วไป บุคคลย่อมมีความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญา แต่มีข้อยกเว้นคือ บุคคลบางประเภทกฎหมายถือว่าหย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญา เช่น ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ และบุคคลล้มละลาย สำหรับผู้เยาว์จะทำนิติกรรมได้ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม (ป.พ.พ.ม.21) เว้นแต่นิติกรรมที่ได้มาซึ่งสิทธิโดยสิ้นเชิงหรือเพื่อให้หลุดพ้นหน้าที่ หรือการที่ต้องทำเองเฉพาะตัวหรือกิจกรรมที่สมแก่ฐานานุรูป และจำเป็นในการเลี้ยงชีพเหล่านี้ผู้เยาว์ทำด้วยตนเองได้ (ป.พ.พ.ม.22,23,24) ส่วนคนไร้ความสามารถต้องอยู่ในความอนุบาลกิจการใดๆ ของคนไร้ความสามารถผู้อนุบาล ซึ่งแต่งตั้งโดยศาลต้องเป็นผู้ทำเองทั้งสิ้น (ป.พ.พ.ม. 28 วรรคสอง) สำหรับคนเสมือนไร้ความสามารถทำกิจการเองได้ทุกอย่าง เว้นแต่กิจกรรมบางอย่างตาม ป.พ.พ.ม. 34 จะทำได้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์เช่น สัญญา ซื้อขายที่ดิน เป็นต้น
     บุคคลล้มละลายจะทำนิติกรรมใดไม่ได้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามคำสั่งศาลเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน
     1. ผู้มีสิทธิในการทำนิติกรรมสัญญา ปกติแล้ว บุคคลทุกคนต่างมีสิทธิในการทำนิติกรรมสัญญา แต่ยังมีบุคคลบางประเภทเป็นผู้หย่อนความสามารถ กฎหมายจึงต้องเข้าดูแลคุ้มครองบุคคลเหล่านี้ไม่ให้ได้รับความเสียหายในการกำหนดเงื่อนไขในการเข้าทำนิติกรรมของผู้นั้น
     2. ผู้หย่อนความสามารถในการทำนิติกรรมสัญญา
        1) ผู้เยาว์ คือบุคคลที่ยังมีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ การทำนิติกรรมสัญญาใดๆของผู้เยาว์ กฎหมายกำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม คือบิดามารดาหรือผู้ปกครองแล้วแต่กรณีเสียก่อน การทำนิติกรรมสัญญาใดที่ปราศจากความยินยอมกฎหมายเรียกว่าเป็นโมฆียะซึ่งอาจถูกบอกล้างภายหลังได้ต่อเมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์แล้วจึงพ้นจากภาวะเป็นผู้เยาว์และเป็นผู้บรรลุนิติภาวะเป็นผู้เยาว์และเป็นผู้บรรลุนิติภาวะจึงมีความสามารถใช้สิทธิในการทำนิติกรรมสัญญาได้เอง
        2) แม้จะอายุยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ แต่ได้บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรสแล้วก็ย่อมทำนิติกรรมสัญญาได้ดังเช่นผู้บรรลุนิติภาวะทุกประการ (การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว(มาตรา 1448))
                   3) คนวิกลจริต คือบุคคลที่มีสมองพิการหรือว่าจิตใจไม่ปกติ โดยมีอาการหนักถึงขนาดเสียสติทุกสิ่งทุกอย่าง พูดกันไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
                  4) คนไร้ความสามารถ คือ คนวิกลจริตที่ศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถการที่ศาลจะมีคำสั่งให้คนวิกลจริตคนใดเป็นคนไร้ความสามารถนั้น จะต้องมีผู้เสนอเรื่องต่อศาลโดยกฎหมายได้ระบุให้บุคคลดังต่อไปนี้เสนอเรื่อง โดยร้องขอต่อศาลได้ คือสามีหรือภริยาของคนวิกลจริต ผู้สืบสันดานของคนวิกลจริต (ลูก,หลาน,เหลน,ลื้อ) ผู้บุพการีของคนวิกลจริต (บิดา,มารดา,ปู่,ย่า,ตา,ยาย,ทวด) หรือผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ ผู้ซึ่งปกครองดูแลคนวิกลจริตหรือพนักงานอัยการ (ป.พ.พ. มาตรา 28) เมื่อศาลไต่สวนได้ความว่าวิกลจริตจริงก็จะสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความอนุบาล โดยศาลจะตั้งผู้อนุบาลให้
                  5) คนเสมือนไร้ความสามารถ คือบุคคลผู้ใดไม่สามารถจะจัดทำการงานของตนเองได้ หรือจัดการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเอง หรือครอบครัว เพราะ
                      5.1) กายพิการหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 
                      5.2) ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ 
                      5.3) ติดสุรายาเมา 
                      5.4)มีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้น 
                  เมื่อบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดดังต่อไปนี้ คือ สามีหรือภริยา ผู้บุพการี หรือผู้สืบสันดาน หรือผู้พิทักษ์หรือผู้ปกครองหรือผู้ซึ่งปกครองดูแลคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคคลดังกล่าวเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและสั่งให้ผู้นั้นอยู่ในความพิทักษ์ก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 32)
                  6) ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายตามกฎหมายล้มละลาย เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ก็ตกเป็นผู้หย่อนความสามารถ กล่าวคือลูกหนี้จะกระทำการใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือกิจการของตนไม่ได้ เว้นแต่จะกระทำได้ตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล, เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์, ผู้จัดการทรัพย์, หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ และเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่มีอำนาจในการจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้ และการกระทำการอื่นๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น การฟ้องร้อง การต่อสู้คดี การประนีประนอม เป็นต้น
                  7) สามีและภริยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกันจึงต้องให้ความยินยอมซึ่งกันและกัน ในการทำสัญญาผูกพันสินสมรส กฎหมายได้วางหลักในเรื่องนี้ไว้ดังนี้
                      7.1) มาตรา 1476 สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้
                      7.2) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนองซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ 
                      7.3) ก่อตั้งหรือกระทำให้สิ้นสุดทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ 
                      7.4) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี 
                      7.5) ให้กู้ยืมเงิน 
                      7.6) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคมหรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา 
                      7.7) ประนีประนอมยอมความ 
                      7.8) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย 
                      7.9) นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล 
การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้วรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
                  8) สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ทั้งหมด หรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทำสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1465 และมาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรสในกรณีที่สัญญาก่อนสมรสระบุการจัดการสินสมรสไว้แต่เพียงบางส่วนของมาตรา 1476 การจัดการสินสมรสนอกจากที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรสให้เป็นไปตามมาตรา 1476 (ป.พ.พ. มาตรา 1476/1)
                  9) การใดที่สามีหรือภริยากระทำ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมร่วมกันและถ้าการนั้นมีกฎหมายบัญญัติให้ทำเป็นหนังสือ หรือให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ความยินยอมนั้นต้องทำเป็นหนังสือ (ป.พ.พ. มาตรา 1476) 
                  10) การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
                  การฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันที่ได้รับนิติกรรมนั้น (ป.พ.พ. มาตรา 1480)
                  11) นิติกรรมสัญญาต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่เป็นการพ้นวิสัย และต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
                  12) การทำนิติกรรมสัญญาใดๆ นอกจาไม่หย่อนความสามารถดังกล่าวในข้อ 2 แล้วจะต้องไม่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ไม่เป็นการพ้นวิสัย และต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนด้วย (ป.พ.พ. มาตรา 150) ถ้าฝ่าฝืนหลักดังกล่าวนิติกรรมสัญญานั้นก็เป็นโมฆะ กล่าวคือใช้ไม่ได้ไร้ผลบังคับโดยสิ้นเชิง
                  ที่ว่าเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายจะต้องเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นิติกรรมสัญญานั้นจึงจะเป็นโมฆะ
                  แต่ถ้านิติกรรมสัญญาเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายที่มิใช่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้วก็ไม่ทำให้นิติกรรมสัญญานั้นเป็นโมฆะ ข้อตกลงนั้นใช้บังคับได้ เช่น ป.พ.พ.ม 733 บัญญัติไว้ว่า ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด และราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดี เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้นหากคู่สัญญา ตกลงกันว่า ถ้าเอาทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ลูกหนี้ยังต้องรับผิดในหนี้ที่เหลืออยู่ ข้อตกลงดังกล่าวใช้บังคับได้เพราะศาลฎีกาถือว่า ป.พ.พ.ม 733 มิใช่กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
                   ตัวอย่างที่ 1 ทำสัญญาขยายอายุความฟ้องร้องออกไปเกินกว่าที่กฎหมายกำนหดไว้ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะเพราะขัดต่อ ป.พ.พ.มาตรา 193/11
                  ตัวอย่างที่ 2 ทำสัญญาจ้างให้คนเหาะหรือให้กระโดดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะ เพราะเป็นการพ้นวิสัย
                  ตัวอย่างที่ 3 ทำสัญญาจ้างให้มือปืนไปยิงคน ข้อตกลงเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อย
                  ตัวอย่างที่ 4 ทำสัญญาจ้างให้ไปทำชู้กับภรรยาของผู้อื่นๆ ข้อตกลงเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

นิติกรรมสัญญาต้องทำตามแบบ
          ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติบังคับให้นิติกรรมสัญญาบางประเภทต้องทำตามแบบ ถ้าฝ่าฝืนไม่ทำตามแบบ การนั้นเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 152)
          อุทาหรณ์ 1 สัญญาจำนองซึ่งมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นเป็นโมฆะ (ป.พ.พ.ม.714)
          อุทาหรณ์ 2 ซื้อขายที่ดินโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่การซื้อขายนั้นเป็นโมฆะ (ป.พ.พ.ม 456)
            1. นิติกรรมสัญญาที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน มีดังนี้
                1) การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เช่น ที่ดิน บ้าน ซึ่งหมายถึงการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด รวมทั้งเรือกำปั่น เรือที่มีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไป เรือกลไฟ หรือเรือยนต์ที่มีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป แพและสัตว์พาหนะ ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ 6 อย่าง (ป.พ.พ.ม. 456)
                   ถ้าทำสัญญาจะซื้อขายทรัพย์ดังกล่าวใน ป.พ.พ.ม. 456 จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิด หรือวางประจำหรือชำระหนี้บางส่วนซึ่งจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้
                2) การแลกเปลี่ยนอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษดังกล่าวในข้อ 1
                3) การให้ทรัพย์สินดังกล่าวในข้อ 1
                4) การขายฝากอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์พิเศษดังกล่าวในข้อ 1
                5) การเช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีกำหนดเกินกว่าสามปี หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าต้องทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนถ้าไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การเช่านั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียงสามปี (ป.พ.พ. 538)
                6) สัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (ป.พ.พ.714) นิติกรรมสัญญาดังกล่าวใน (1) (2) (3) (4) และ (6) ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็เป็นโมฆะ
            2. นิติกรรมสัญญาที่ต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือมีดังนี้
                1) การเช่าอสังหาริมทรัพย์ เช่น เช่าที่ดิน หรือบ้าน ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ (ป.พ.พ.ม. 538) หลักฐานที่เป็นหนังสือ เช่น จดหมายที่ผู้ให้เช่ามีไปถึงผู้เช่าตอบตกลงให้เช่าที่ดินหรือบ้านได้เป็นต้น
                2) สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ ถ้าไม่ทำก็เป็นโมฆะ (ป.พ.พ.ม.572)
                3) การกู้ยืมเงินเกินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืม จึงจะเป็นฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ และการนำสืบการใช้เงินในกรณีการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือจะนำสืบได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารการกู้ยืมได้ถูกเวนคืนหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารการกู้ยืมแล้ว (ป.พ.พ.ม.653)
                อนึ่ง การกู้ยืมเงินนั้นผู้กู้พึงระวังมิให้เจ้าหนี้โกงโดยเติมตัวเลขลงในช่องจำนวนเงินที่กู้ ทั้งนี้โดยจะต้องขีดหน้าและหลังด้วยตัวเลขและวงเล็บจำนวนเงินด้วยตัวอักษรไว้ให้ชัดเจน
                4) สัญญาค้ำประกันต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ (ป.พ.พ.ม.680)
                5) กิจกรรมใดที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือ เช่น ตั้งตัวแทนไปซื้อขายที่ดิน ดังนี้ต้องทำหนังสือมอบอำนาจ
                กิจการที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นตัวหนังสือด้วย เช่น การตั้งตัวแทนไปกู้ยืมเงินเกินห้าสิบบาทขึ้นไป ก็ต้องมีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือ (ป.พ.พ.ม. 789)
                6) สัญญาประนีประนอมยอมความจะต้องมีหลักฐานลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ (ป.พ.พ.ม.851)

เอกเทศสัญญา 
          คือสัญญาทางกฎหมายที่มีลักษณะเฉพาะตัว เป็นสัญญาที่ใช้กันมากในชีวิตประจำวัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงจัดรวบรวมเอาไว้ ซึ่งมีทั้งสิ้น 22 ลักษณะ เพื่อให้สะดวกในการใช้ ค้นหาและอ้างอิง แต่อย่างไรก็ดี มิใช่ว่า สัญญาในทางกฎหมายจะมีเพียงเอกเทศสัญญาเท่านั้น บุคคลสามารถทำสัญญาชนิดอื่นๆ หรือเรียกชื่อสัญญาอย่างไรก็ได้โดยอิสรเสรี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ระบุสัญญาต่างๆ ที่เป็นเอกเทศสัญญาอันเป็นสัญญาที่เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ ซึ่งมีหลายลักษณะในบรรพ 3 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วยสัญญา 22 ชนิด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วยสัญญา 22 ชนิด
            1. สัญญาซื้อขาย
            2. สัญญาแลกเปลี่ยน
            3. สัญญาเรื่องการให้
            4. สัญญาเช่าทรัพย์
            5. สัญญาเช่าซื้อ
            6. สัญญาจ้างแรงงาน
            7. สัญญาจ้างทําของ
            8. สัญญารับขนของ
            9. สัญญาการยืม
            10. สัญญาฝากทรัพย์
            11. สัญญาค้ำประกัน
            12. สัญญาจํานอง
            13. สัญญาจํานํา
            14. สัญญาเก็บของในคลังสินคา
            15. สัญญาตัวแทน
            16.สัญญานายหน้า
            17. สัญญาประนีประนอมยอมความ
            18. สัญญาการพนันขันตอ
            19. สัญญาบัญชีเดินสะพัด
            20. สัญญาประกันภัย
            21. สัญญาตั๋วเงิน และ
            22. สัญญาหุนสวนบริษัท
 นิติกรรมสัญญาที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ และได้กำหนดแบบของสัญญา รวมทั้งสาระสำคัญของสัญญา สิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญา และการระงับของสัญญาไว้ ซึ่งสัญญาจะมีผลใช้บังคับได้หากไม่ขัดกับบทบัญญติแห่งกฎหมายนั้นๆ และเอกเทศสัญญาบางลักษณะยังเป็นสัญญาที่เป็นบ่อเกิดแห่งหนี้อีกด้วยเอกเทศสัญญามีทั้งหมด 22 ลักษณะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่จะขออธิบายพอสังเขปเพียง 6 ลักษณะ ดังนี้ 
สัญญาซื้อขาย
คือ สัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย ซึ่งการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น กฎหมายกำหนดไว้ให้ทำตามแบบ คือ ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่ทำ สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ แต่หากเป็นการทำสัญญาจะซื้อหรือจะขาย โดยคู่สัญญาประสงค์จะทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกันในภายหลัง หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่ตกลงราคากันตั้งแต่ 20,000 บาท หรือกว่านั้นขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิด หรือได้มีการวางประจำ หรือได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว จึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้

สัญญาเช่าทรัพย์
 คือ สัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้เช่า ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งในชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น โดยการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้ แต่หากเช่ากันมีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 3 ปีขึ้นไป หรือตลอดอายุของผู้ให้เช่า หรือผู้เช่า ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าไม่เป็นโมฆะ แต่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียง 3 ปี เท่านั้น 

สัญญาเช่าซื้อ
 คือ สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว โดยสัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ และลงลายมือชื่อของทั้งผู้ให้เช่าซื้อ กับผู้เช่าซื้อ จึงจะมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย หากไม่ทำ สัญญาเช่าซื้อตกเป็นโมฆะ
เช่าซื้อ   คืออะไร  เช่าซื้อ เป็นเอกเทศสัญญาที่นิยมทำกันแพร่หลายในสังคมปัจจุบัน เนื่องจากผู้มี รายได้น้อยไม่สามารถซื้อสินค้าที่มีราคาสูง โดยวิธีการซื้อขายธรรมดา จึงหันมาทำ สัญญาเช่าซื้อ โดยผู้เช่าซื้อสามารถผ่อนชำระราคาได้ในระยะเวลานาน โดยผู้เช่าซื้อ ผ่อนชำระเป็นงวด ๆจ นครบกำหนดตามสัญญาผู้เช่าซื้อก็จะได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน นั้นไป แต่มีข้อเสียคือผู้เช่าซื้อจะต้องซื้อสินค้า ดังกล่าวในราคาที่สูงกว่าต้นทุนเนื่องจาก ผู้ให้เช่าซื้อได้คิดดอกเบี้ยรวมเข้าไปกับต้นทุนการผลิต และการคิดดอกเบี้ยก็คิดโดยเอา ระยะเวลาที่ตกลงผ่อนชำระเป็นตัวคูณ แล้วนำไปรวมกับราคาขายเป็นราคาทรัพย์ที่ ตกลงเช่าซื้อกัน การผ่อนชำระเอาจำนวนงวดเป็นตัวหารจากหลักการคิดดังกล่าว ผู้เช่า ซื้อย่อมเสียเปรียบ เพราะแม้ผ่อนชำระราคาไปแล้ว ก็มิได้มีการลดดอกเบี้ยของต้นทุนที่ ลดจำนวนลงไป

สัญญาเช่าซื้อ คือ สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าจะต้องใช้เงินเป็นงวด ๆ
แบบของสัญญาเช่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อ ต้องทำเป็นหนังสือ คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย คือ ผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่า ซื้อ ต้องลงลายมือชื่อในสัญญา หากมิได้ทำเป็นหนังสือ หรือคู่สัญญาลงชื่อเพียงฝ่าย เดียว สัญญาจะตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ ไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา
ผู้เช่าซื้อมีสิทธิแล ะหน้าที่อย่างไร ผู้เช่าซื้อมีสิทธิจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ด้วยการส่งมอบทรัพย์ สินที่เช่าซื้อกลับ คืนให้แก่เจ้าของ (ผู้ให้เช่า) โดยเสียค่าใช้จ่าย
เจ้าของทรัพย์ (ผู้ให้เช่าซื้อ)มีสิทธิและหน้าที่อย่างไรเจ้าของทรัพย์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ในกรณีดังต่อไปนี้ คือ
1. ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อสองคราวติด ๆ กันเจ้าของทรัพย์ สินมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ เมื่อเจ้าของทรัพย์ผู้ให้เช่าซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เพราะผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินสองคราวติดกันแล้ว เจ้าของทรัพย์มีสิทธิดังต่อไปนี้คือ
(1) ริบเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้มาแล้วก่อนบอกเลิกสัญญาได้ และ
(2) เจ้าของทรัพย์มีสิทธิกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นได้
2. ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อกระทำผิดสัญญาในข้อที่สำคัญ เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้เมื่อเจ้าของทรัพย์สิน(ผู้ให้เช่าซื้อ) ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่า ซื้อเพราะเหตุที่ผู้เช่าซื้อกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิ ดังนี้ คือ
(1) ริบเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระค่าเช่าซื้อมาแล้วก่อนบอกเลิกสัญญาได้ และ
(2) เจ้าของทรัพย์มีสิทธิกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นได้ เจ้าของทรัพย์ มีหน้าที
อย่างไร เจ้าของทรัพย์มีหน้าที่ต้องไปเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนสิทธิใน ทรัพย์สินให้แก่ผู้เช่าซื้อในกรณีที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อจนครบถ้วนแล้ว

สัญญายืม 
มี 2 ประเภท คือ
1. สัญญายืมใช้คงรูป คือ สัญญาซึ่งผู้ให้ยืม ให้ผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้เปล่า (โดยไม่มีค่าตอบแทน) และผู้ยืมตกลงจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อใช้สอยเสร็จแล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำสัญญาเป็นหนังสือ เพียงส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กัน ก็มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้ระหว่างผู้ให้ยืม และผู้ยืม และการส่งมอบทรัพย์สินที่ให้ยืม ไม่ใช่การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้ยืมไป เช่น การยืมรถยนต์ไปขับ เป็นต้น
2. สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง คือ สัญญาซึ่งผู้ให้ยืม โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้น เป็นปริมาณมีกำหนดให้แก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินที่ให้ยืมนั้น และสัญญาจะมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อได้ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กัน เช่น การกู้ยืมเงิน ซึ่งมีหลักเกณฑ์โดยเฉพาะดังนี้  หากกู้ยืมเงินมากกว่า 2,000 บาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ และห้ามคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี ถ้าคิดเกิน ข้อตกลงในส่วนของดอกเบี้ยนี้เป็นโมฆะ แต่เงินต้นยังคงสมบูรณ์อยู่ ผู้ยืมจึงยังมีหน้าที่ต้องคืนเงินต้นให้แก่ผู้ให้ยืมจนครบ

สัญญาฝากทรัพย์

กฎหมายลักษณะฝากทรัพย์ มีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ
1. การฝากทรัพย์
    ฝากทรัพย์ คือสัญญาซึ่งผู้ฝากส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับฝาก และผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้ ตาม ม.657
             สัญญาฝากทรัพย์ มีลักษณะทั่วไป 5 ประการ ดังนี้คือ
             1) เป็นสัญญาที่มีคู่สัญญา 2 ฝ่าย ไม่มีแบบหรือไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
                 1.1 ) เมื่อมีคำเสนอและคำสนองตรงกัน แม้จะตกลงกันด้วยวาจาก็ใช้ได้แล้ว
                 1.2) เป็นสัญญาไม่มีแบบหรือไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้
             2) เป็นสัญญาประเภทที่บริบูรณ์ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินที่ฝาก  เป็นการส่งมอบการครอบครอง
                 2.1) การส่งมอบโดยตรง เช่น การหยิบยื่นทรัพย์สินที่ฝากให้ผู้รับฝาก
                 2.2) การส่งมอบโดยปริยาย เช่น การมอบกุญแจให้ผู้รับฝาก
             3) วัตถุแห่งสัญญาฝากทรัพย์ต้องเป็นทรัพย์สินเท่านั้น
                 3.1) ทรัพย์สิน หมายรวมถึงทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้
                 3.2) ยกเว้น ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร สิทธิในเครื่องหมายการค้า
             4) หนี้ของสัญญาฝากทรัพย์ คือผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้ …..หนี้ในที่นี้หมายถึงหน้าที่ กล่าวคือ
                 4.1 ) เมื่อผู้ฝากส่งมอบทรัพย์สินที่ฝากแล้ว ผู้รับฝากเข้าครอบครองและต้องรักษาทรัพย์สินนั้น
                 4.2) ผู้รับฝากต้องรักษาทรัพย์สินด้วยความระมัดระวังและต้องส่งคืนให้แก่ผู้ฝาก ไม่เอาไปหาประโยชน์อื่นใดนอกเหนือจากการรับฝาก
             5) เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน และไม่มีสัญญาตอบแทน เว้นแต่จะตกลงว่ามีค่าตอบแทนหรือโดยพฤติการณ์พึงคาดหมายได้ว่ามีค่าตอบแทน กรณีมีค่าตอบแทนหรือค่าบำเหน็จ มีได้ 2 กรณีคือ
                 5.1) ตกลงโดยชัดแจ้ง หมายถึง ผู้ฝากและผู้รับฝากได้ตกลงกันไว้
                 5.2) ตกลงโดยปริยาย หมายถึง โดยพฤติการณ์พึงคาดหมายได้ว่า เขารับฝากก็เพื่อจะได้บำเหน็จ
        ค่าฝากทรัพย์สินนั้น ตาม ม.658
            การฝากทรัพย์นั้น อาจจะทำให้เปล่า เช่นเพื่อนบ้านฝากข้าวของกันยามไม่อยู่บ้าน  หรือมีบำเหน็จ เช่น ฝากของตามสถานีขนส่ง หรือฝากกับผู้มีอาชีพรับฝาก เป็นต้น หน้าที่ของผู้รับฝาก ได้แก่
        1. หน้าที่ในการสงวนรักษาทรัพย์สินที่ฝาก (ม.659)
            1) กรณีไม่มีบำเหน็จค่าฝาก  ต้องสงวนรักษาทรัพย์สินนั้นเสมือนทรัพย์สินของตนเอง
            2) กรณีมีบำเหน็จค่าฝาก  ต้องใช้ฝีมือเพื่อรักษาทรัพย์สินเช่นวิญญูชนพึงใช้
            3) กรณีมีบำเหน็จค่าฝาก และผู้รับฝากเป็นผู้ประกอบอาชีพเพื่อการนั้น  นอกจากต้องใช้
ฝีมือเช่นวิญญูชนพึงใช้แล้ว ยังต้องใช้ฝีมือเช่นคนประกอบอาชีพพึงใช้ด้วย
        2. หน้าที่ในการงดเว้นใช้สอยทรัพย์สินหรือให้คนอื่นเก็บรักษาทรัพย์สินที่ฝากนั้น (ม.660)
            1) กฎหมายห้ามเด็ดขาด เว้นแต่ผู้ฝากจะอนุญาต
            2) หากฝากฝืนและทรัพย์สินที่ฝากนั้นสูญหายหรือบุบสลาย ผู้รับฝากต้องรับผิด
            3) กรณีเกิดเหตุสุดวิสัย ซึ่งมิใช่ความผิดของผู้รับฝากและเป็นเหตุที่ไม่สามารถป้องกันได้
ผู้รับฝากไม่ต้องรับผิด
            4) แต่ถ้าขณะเกิดเหตุสุดวิสัยเช่นนั้น ผู้รับฝากเอาไปให้บุคคลภายนอกเก็บรักษา ผู้รับฝากก็
ต้องรับผิด เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า ถึงอย่างไรทรัพย์สินที่ฝากก็สูญหายหรือบุบสลายอยู่ดี
        3. หน้าที่ในการบอกกล่าว เมื่อถูกฟ้องหรือถูกยึดทรัพย์สินที่ฝาก (ม.661)
            1) เนื่องจากผู้รับฝากเป็นเพียงผู้เก็บรักษาทรัพย์สินนั้น จึงเป็นหน้าที่ต้องแจ้งเจ้าของกรรมสิทธิ์
            2) ถ้าผู้รับฝากละเลย จะต้องรับผิด เมื่อผู้ฝากต้องเสียหาย
        4. หน้าที่ในการคืนทรัพย์สินที่ฝากพร้อมด้วยดอกผล มีรายละเอียดดังนี้
            1) กรณีที่คู่สัญญากำหนดเวลากันไว้  ผู้รับฝากไม่มีสิทธิคืนก่อน (ม.662) ส่วนผู้ฝากเรียกคืนเมื่อใดก็ได้ (ม.663)
            2) กรณีที่คู่สัญญาไม่ได้กำหนดเวลากันไว้  ผู้รับฝากอาจคืนได้ทุกเมื่อ (ม.664)
            3) การคืนนั้น หมายถึงการคืนตัวทรัพย์ที่ฝาก และดอกผลอันเกิดจากตัวทรัพย์นั้นด้วย เช่น
รับฝากแม่วัว ระหว่างรับฝากนั้นแม่วัวออกลูก 2 ตัว ต้องคืนแม่วัวซึ่งเป็นตัวทรัพย์ และ ลูกวัว 2 ตัว
ซึ่งเป็นดอกผลอันเกิดจากตัวทรัพย์

     สิทธิของผู้รับฝาก ได้แก่
1. สิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์สินที่ฝาก (ม.667)
2. สิทธิเรียกค่าใช้จ่ายในการสงวนทรัพย์สินที่ฝาก (ม.668)
3. สิทธิเรียกบำเหน็จค่าฝาก (ม.658 , 669)
4. สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินที่ฝาก (ม.670)
     หน้าที่ของผู้ฝาก
1. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการคืนทรัพย์สิน
2. หน้าที่เสียค่าใช้จ่ายในการสงวนรักษาทรัพย์สิน
3. หน้าที่ชำระบำเหน็จค่าฝาก
     สิทธิของผู้ฝาก
1. สิทธิฟ้องบังคับให้สงวนรักษาทรัพย์สิน ห้ามใช้สอยหรือห้ามคนอื่นเก็บรักษา
2. สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวแก่การฝากทรัพย์
3. สิทธิในการรียกคืนทรัพย์และดอกผลสัญญาฝากทรัพย์ ย่อมระงับสิ้นไปด้วยกรณีต่อไปนี้
   3.1) ระงับตามข้อตกลงในสัญญา
   3.2) ระงับเมื่อส่งทรัพย์คืน
   3.3) ระงับเมื่อทรัพย์สูญหายหรือถูกทำลายไปหมด หรือถูกบุคคลภายนอกยึดไปโดยชอบ
   3.4) ระงับเมื่อผู้รับฝากตาย  เป็นการเฉพาะตัว จึงถือคุณสมบัติของผู้รับฝากเป็นข้อสำคัญ
     อายุความเกี่ยวกับสัญญาฝากทรัพย์
          1. การฟ้องเรียกให้ใช้เงินบำเหน็จค่าฝาก เรียกให้ชดใช้เงินค่าใช้จ่ายที่ผู้รับฝากต้องเสียไป หรือเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้น มีอายุความฟ้องคดี 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสัญญา ตาม ม.671
          2. การฟ้องเรียกคืนทรัพย์ หรือเรียกชดใช้ราคาทรัพย์ที่ฝาก มีอายุความ 10 ปี ตาม ม.193/30
     ข้อปลีกย่อยที่สมควรทราบ
          1. การฝากรถต้องมอบกุญแจรถให้ผู้รับฝาก (มอบกุญแจรถให้เด็กเฝ้าลานจอดรถร้านอาหาร ถือว่าเป็นการฝากทรัพย์ (ฎ.925/2536)
          2. การจอดรถไว้ในที่ลายจอดรถของห้างสรรพสินค้า ซึ่งมรพนักงานของห้างคอยแจกบัตรอยู่ทางเข้านั้น ถือเป็นการฝากรถ
          3. การฝากทรัพย์ไม่ได้เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ ฉะนั้น ผู้ฝากไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ฝากผู้ยืมหรือผู้เช่าซื้อทรัพย์นั้นก็ฝากได้ เมื่อทรัพย์นั้นสูญหายก็มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ (ฎ.4835/2540)
          4. กรมป่าไม้ยึดไม้มาได้ จึงจ้างคนเฝ้าไม้ที่ยึดมาไว้ในป่า กรณีนี้เป็นการจ้างทำของ  แต่ถ้ากรมป่าไม้สั่งให้ลูกจ้างไปเฝ้าไม้ที่ยึดได้นั้น กรณีนี้เป็นจ้างแรงงาน
          5. การเช่าตู้นิรภัยของธนาคารเก็บของมีค่า ไม่เป็นการฝากทรัพย์ เพราะเจ้าทรัพย์มิได้ส่งมอบทรัพย์ที่ฝากให้แก่ธนาคาร

การฝากเงิน
          เงินหรือเงินตรา มีลักษณะพิเศษในทางกฎหมายยิ่งกว่าทรัพย์สินอื่นๆ ดังนั้น เรื่องฝากเงินหรือฝากเงินตราก็เช่นเดียวกัน กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์เป็นพิเศษกว่าการฝากทรัพย์สินอื่นไว้ดังนี้คือ
1. ผู้รับฝากไม่ต้องคืนเงินตราอันเดียวกับที่รับฝาก (ม.672 ว.1)
2. ผู้รับฝากเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ได้ (ม.672 ว.2)
3. ผู้รับฝากต้องคืนเงินที่รับฝากครบจำนวน แม้ว่าเงินที่ฝากสูญหายด้วยเหตุสุดวิสัย (ม.672
ว.2)
          4. ผู้รับฝากที่จำต้องคืนเงินเพียงเท่าจำนวนที่ฝาก จะส่งคืนก่อนถึงเวลาที่ตกลงกันไว้ไม่ได้ ส่วนผู้ฝากก็เรียกถอนเงินคืนก่อนถึงเวลานั้นไม่ได้เช่นกัน (ม.673)
          ลักษณะพิเศษของการฝากเงิน ได้แก่
             1) เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบหรือไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้
             2) จะบริบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบเงินที่ฝาก
             3) กรรมสิทธิ์ในเงินที่ฝากโอนไปยังผู้รับฝากเงินแล้ว (ฎ.2611/2522 , ฎ.752-753/2523)
             4) ผู้ฝากไม่ต้องเสียบำเหน็จค่าฝาก ผู้รับฝากเป็นฝ่ายให้ค่าตอบแทนหรือดอกเบี้ยแก่ผู้ฝาก
การสั่งโอนเงินฝากทางโทรศัพท์ จะทำได้ในกรณีที่ผู้ฝากคนเดียวมีบัญชีเงินฝากอยู่หลายบัญชี และสั่งโอนเงินฝากจากบัญชีหนึ่งไปเข้าอีกบัญชีหนึ่งได้เท่านั้น  แต่จะสั่งโอนเงินจากบัญชีของตนไปเข้าบัญชีของอีกบุคคลหนึ่งไม่ได้
     สิทธิและหน้าที่ของผู้รับฝากเงิน ได้แก่
          1. สิทธิที่จะไม่ต้องคืนเงินตราอันเดียวกับที่รับฝาก (ม.672 ว.1)
2. สิทธิที่จะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ได้ (ม.672 ว.1)
3. หน้าที่จะต้องคืนเงินที่รับฝากให้ครบจำนวน (ม.672 ว.2)
4. หน้าที่ไม่ต้องส่งคืนเงินก่อนถึงเวลาที่ตกลงกันไว้ (ม.673)
     สิทธิและหน้าที่ของผู้ฝากเงิน ได้แก่
1. หน้าที่รับคืนเงินตราอันอื่นที่ไม่ใช่อันเดียวกับที่ฝาก
2. หน้าที่ไม่ขัดขวางในการที่ผู้รับฝากเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้สอย
3. หน้าที่ไม่ถอนเงินคืนก่อนถึงเวลาที่ตกลงกันไว้
4. สิทธิเรียกคืนเงินที่ฝากจนครบจำนวน

การฝากทรัพย์กับเจ้าสำนักโรงแรม
     โรงแรม หมายความถึง บรรดาสถานที่ทุกชนิดที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรับสินจ้างสำหรับคนเดินทาง หรือบุคคลที่ประสงค์จะหาที่อยู่หรือที่พักชั่วคราว  ปัจจุบันมีสถานที่จัดให้บุคคลเข้าพัก แต่ใช้ชื่ออื่น เช่น แฟลต อพาร์ทเม้นต์ คอร์ท เกสท์เฮ้าส์ หรือหอพัก เป็นต้น สถานที่เหล่านี้จะมีความหมายเป็นโรงแรม ต้องมีองค์ ประกอบ ดังนี้
1. เป็นการพักแรมชั่วคราวน้อยกว่า 1 เดือน
2. เป็นสถานที่ที่มีบริการขายอาหารและเครื่องดื่ม
     โฮเต็ล ที่บัญญัติแยกความหมายจากคำว่าโรงแรม เนื่องจากในขณะประกาศใช้กฎหมายบรรพนี้ ยังสบสนเรื่องคำแปลภาษาไทย แต่ปัจจุบันมีความหมายเดียวกัน
     สถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น หมายความถึงสถานที่ทำนองเดียวกับโรงแรม เช่นที่พักคนเดินทางที่มีเครื่องเรือนพร้อม สำหรับผู้มีรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ขับมาพักแรมระหว่างเมืองต่อเมืองในต่างประเทศ ที่เรียกว่า motel
     คนเดินทางหรือแขกอาศัย หมายความถึง ผู้พักอาศัยในโรงแรม หรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น โดยเสียค่าที่พัก  ต่อไปนี้จะใช้เพียงคำว่า ผู้พักอาศัยส่วนสถานที่จะใช้คำว่า โรงแรม
     ทรัพย์สินที่ฝาก สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้คือ
          (1) ทรัพย์สินทั่วไปที่ผู้พักอาศัยนำมาด้วย เช่น กระเป๋าเดินทาง รถยนต์ เครื่องเล่นกีฬา ฯลฯ
          (2) ทรัพย์สินอื่นซึ่งระบุใน ม.675 ว.2 เช่น เงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ใบประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่นๆ
     ลักษณะการฝากทรัพย์สินกับโรงแรม  กิจการโรงแรมเป็นการค้าซึ่งคิดค่าตอบแทนจากผู้พักอาศัย ส่วนทรัพย์สินที่ผู้พักอาศัยพามานั้น กฎหมายได้กำหนดวิธีการและความรับผิดเฉพาะไว้ 2 กรณี กล่าวคือ
          1. การฝากทรัพย์โดยตรง หรือโดยสัญญาฝากทรัพย์เฉพาะราย หมายความถึง ทรัพย์สินซึ่งผู้พักอาศัยพามานั้น จะต้องฝากไว้แก่เจ้าสำนักโรงแรมโดยตรง และต้องบอกราคาของทรัพย์สินนั้นไว้ชัดแจ้งด้วยถ้าเข้าองค์ประกอบครบทั้ง 2 ประการ ทรัพย์สินนั้นได้โอนสิทธิการครอบครองไปยังเจ้า
สำนักโรงแรมแล้ว (ผู้แทนเจ้าสำนักโรงแรมรับแทนก็ถือว่าใช้ได้แล้ว) เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดเหมือนกรณีการฝากทรัพย์ธรรมดาหากทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลาย เจ้าสำนักโรงแรมต้องชดใช้ตามราคาทรัพย์สินนั้น
          2. การฝากทรัพย์โดยปริยาย หรือโดยผลของกฎหมาย หมายความถึง ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยได้พามาหรือเอาไว้ในโรงแรม โดยไม่จำเป็นต้อง บอกฝากไว้เหมือนกรณีการฝากทรัพย์โดยตรง ทรัพย์สินเหล่านั้น เท่ากับเอามาเก็บรักษาไว้ในอารักขาของเจ้าของโรงแรมโดยปริยายแล้ว ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายเฉพาะรายการตาม ม.675 ว.2 เท่านั้น ที่เจ้าสำนักโรงแรมจะรับผิดเพียง 5,000 บาท ไม่ว่าของมีค่าจะมีจำนวนกี่สิ่งก็ตาม หรือมีค่ามากแค่ไหนก็ตาม
เจ้าสำนักโรงแรม ตามความหมายใน ม.674 หมายความถึง
             1) เจ้าของ ผู้ควบคุมดูแล หรือผู้จัดการโรงแรม
             2) เจ้าสำนักอาจไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในสถานที่โรงแรม อาจเป็นเพียงผู้เช่าสถานที่มาจัดทำเป็นโรงแรมก็ได้
             3) เจ้าสำนักโรงแรมต้องมีอำนาจควบคุมและจัดการโรงแรมได้
             4) เมื่อทรัพย์สินที่ผู้พักอาศัยพามาเกิดสูญหายหรือบุบสลายระหว่างพักในโรงแรม เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิด  ส่วนจะรับผิดแค่ไหน เป็นอีกเรื่องหนึ่งหน้าที่ของเจ้าสำนักโรงแรม คือให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัย ซึ่งความรับผิดชอบเช่นนี้ แยกออกได้ 2 ประการ คือ
          3. ความรับผิดชดใช้ราคาทรัพย์สินโดย ไม่จำกัดจำนวนเงิน ต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้พักอาศัยพามาระหว่างพักโรงแรม (ม.674  เป็นทรัพย์สินใดๆ ที่อยู่นอกเหนือรายการตาม ม.675 ว.2 ทรัพย์สินระบุใน ม.675 ว.2 ผู้พักอาศัยต้องบอกฝากและแจ้งราคาของทรัพย์สินนั้นต่อเจ้าสำนักโรงแรม จึงจะได้รับการชดใช้ทรัพย์สินตามราคาจริง แม้การสูญหายหรือบุบสลายจะเกิดจากผู้คนไปมาเข้าออกโรงแรมก็ตาม (ม.675 ว.1)
          4.ความรับผิดชดใช้ราคาทรัพย์สินโดยจำกัดจำนวนเงิน ต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้พักอาศัยพามาระหว่างพักโรงแรม (ม.674)  ทรัพย์สินระบุใน ม.675 ว.2 นั้น ถ้าผู้พักอาศัยไม่ได้บอกฝากและแจ้งราคาของทรัพย์สินนั้นต่อเจ้าสำนักโรงแรม จะได้รับการชดใช้ทรัพย์สินตามราคาเพียง 500 บาท เท่านั้นไม่ว่าของมีค่าจะมีจำนวนกี่สิ่งก็ตาม หรือมีค่ามากแค่ไหนก็ตามข้อยกเว้นความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรม
             1) ไม่ต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย (ม.675 ว.3)
2) ไม่ต้องรับผิด เพราะความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่สภาพแห่งทรัพย์นั้น (ม.675
ว.3) สภาพแห่งทรัพย์ในที่นี้หมายถึง ของฝากที่เป็นของสดของเน่าเสียง่าย
             3) ไม่ต้องรับผิด เพราะความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่ความผิดของผู้พักอาศัย หรือบริวารของเขาหรือบุคคลอื่นซึ่งเขาได้ต้อนรับ (ม.675 ว.3)
             4) ไม่ต้องรับผิด เมื่อผู้พักอาศัยพบเห็นความสูญหายหรือบุบสลายแล้วไม่แจ้งความต่อเจ้าสำนักโรงแรมทันที (ม.676)
             5) ไม่ต้องรับผิด เมื่อผู้พักอาศัยได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในข้อความยกเว้นหรือจำกัดความรับผิด (ม.677)เช่น โรงแรมสวีเดน มีแจ้งความของลงแรมว่าจะไม่รับผิดชอบในทรัพย์สินของผู้พักอาศัยที่นำมาไว้ในโรงแรมและสูญหายหรือบุบสลายไป เช่นนี้พิจารณาได้ 2 กรณี คือ ข้อความที่แจ้งเป็นโมฆะ ตาม ม.677 เจ้าสำนักโรงแรมไม่พ้นความรับผิด แต่ถ้าผู้พักอาศัยไปลงชื่อในเอกสารที่มีข้อควา ดังกล่าว เจ้าสำนักโรงแรมไม่ต้องรับผิด สิทธิของเจ้าสำนักโรงแรม มีเหนือทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยที่เอาไว้ในโรงแรม 2 ประการ คือ
          1. สิทธิยึดหน่วงเครื่องเดินทางหรือทรัพย์สินอื่นอันเอาไว้ในโรงแรม (ม.679 ว.1)
          2. สิทธิเอาออกขายทอดตลาดเพื่อหักใช้หนี้แก่ตน (ม.679 ว.2) ซึ่งการเอาทรัพย์สินของผู้พักอาศัยออกขายทอดตลาดได้ ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้ เมื่อทรัพย์สินของผู้พักอาศัยอยู่ในความยึดครองของเจ้าสำนักโรงแรมนานถึง 6 สัปดาห์ แล้วยังไม่มีการชำระหนี้ค้างชำระ เจ้าสำนักโรงแรมต้องลงประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์ประจำท้องถิ่น ก่อนวันขายทอด ตลาดไม่น้อยกว่า 1 เดือน (1 เดือนพอดี หรือเกินกว่านั้น)  เมื่อขายทอดตลาดแล้วมีเงินเหลือเท่าใด ให้คืนแก่เจ้าของ (ม.679 ว.3)
หน้าที่ของคนเดินทางหรือแขกอาศัย ที่มีต่อเจ้าสำนักโรงแรมนั้น มี 2 ประการ คือ
     1. หน้าที่ใช้เงินเพื่อการพักอาศัย การอื่นอันเจ้าสำนักโรงแรมทำให้และเงินที่เจ้าสำนักโรงแรมออกแทนไป (ม.679 ว.1)
     2. หน้าที่แจ้งความต่อเจ้าสำนักโรงแรมทันทีที่พบเห็นว่า ทรัพย์สินของตนสูญหายหรือบุบสลาย (ม.676)

สิทธิของคนเดินทางหรือแขกอาศัย ที่มีต่อเจ้าสำนักโรงแรมนั้น มี 2 ประการ คือ
     1. สิทธิที่จะได้รับชดใช้ที่ทรัพย์สินของตนสูญหายหรือบุบสลาย (ม.674 , 675)
     2. สิทธิที่จะไม่ตกลงในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรม (ม.677)อายุความสำหรับการฝากเจ้าสำนักโรงแรม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
          1) การเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลาย มีอายุความ 6 เดือน ตาม ม.678
          2) การเรียกให้คืนทรัพย์สินหรือราคาทรัพย์สินที่หลงลืมไว้ มีอายุความ 10 ปี ตาม ม.193/30


ลักษณะของสัญญาค้ำประกัน
       มาตรา 680 บัญญัติว่า อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใด อย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้ บังคับคดีหาได้ไม่ อาจแยกสาระสำคัญของสัญญาค้ำประกันออกได้เป็น 5 ประการ คือ
       1. สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาอุปกรณ์
       2. ผู้ค้ำประกันต้องเป็นบุคคลภายนอก
       3. บุคคลภายนอกผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ว่าเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้นจะชำระ
       4. การค้ำประกันนั้นเป็นการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับบุคคลภายนอกผู้ค้ำประกัน
       5. กฎหมายมิได้กำหนดแบบของสัญญาค้ำประกันไว้

       1. สัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาอุปกรณ์  จากบทบัญญัติที่ว่า   ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้นสัญญาค้ำประกันจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีหนี้ผูกพันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้หรือที่เรียกว่า หนี้ประธานหรือสัญญาประธานอยู่ก่อนแล้ว หนี้ตามสัญญาค้ำประกันจึงเป็นเพียง หนี้อุปกรณ์หรือสัญญาอุปกรณ์ซึ่งโดยหลักแล้วสัญญาอุปกรณ์จะสมบูรณ์หรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของสัญญาประธาน ตามบทบัญญัติ มาตรา 681 ว่า อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์คือต้องมีหนี้ผูกพันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้และต้องเป็นหนี้อันสมบูรณ์เท่านั้น ส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเกิดขึ้นตามมูลหนี้ที่ค้ำประกันจะเป็นหนี้อะไรก็ได้ เช่น กู้ยืม เช่าทรัพย์ ซื้อขาย จ้างทำของ เช่าซื้อ ฯลฯ  แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าลูกหนี้ต้องปฏิบัติชำระหนี้ด้วยตนเอง เช่น แสดงภาพยนตร์ทีวี ผู้ค้ำประกันจะชำระหนี้แทนไม่ได้ แต่อาจค้ำประกันในทำนองให้เบี้ยปรับ หรือค่าเสียหายก็ได้ เช่น นาย ก. ไปศึกษาต่อต่างประเทศ จึงทำสัญญากับกรมเจ้าสังกัดว่าเมื่อศึกษาจบแล้วจะกลับมารับราชการเป็น 2 เท่าของเวลาที่รับทุน มิฉะนั้นจะให้ปรับเป็นเงิน 2 เท่าของเงินทุนและเงินเดือนที่ได้รับไประหว่างลาและมี นาย ข. เป็น  ผู้ค้ำประกันโดยตรงลงว่า ถ้านาย ก. ผิดสัญญาตนจะชำระหนี้นั้นแทน ดังนี้เป็นสัญญาค้ำประกัน
       2. ผู้ค้ำประกันต้องเป็นบุคคลภายนอก ลูกหนี้จะทำสัญญาค้ำประกันตนเองไม่ได้ หมายถึงบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ ในกรณีที่หนี้รายใดมีลูกหนี้รายหลาย หรือเจ้าหนี้หลายคน ก็ต้องไม่ใช่บุคคลที่เป็นลูกหนี้หรือเจ้าหนี้เหล่านั้น นอกจากนั้นบุคคลที่จะเป็นผู้ค้ำประกันอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
           คำพิพากษาฎีกาที่ 2223/2539 แม้การที่โจทก์ทำหนังสือมอบสิทธิการรับเงินฝากให้ไว้แก่ ธนาคารผู้ให้กู้ จะมิใช่การค้ำประกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 ก็ตาม แต่เป็นเรื่อง ความตกลงกันในทางฝากเงินเพื่อเป็นประกันหนี้อันเป็นสัญญา อีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อจำเลยยอมรับว่าโจทก์ชำระหนี้แทนจำเลย และจำเลยรับจะชำระเงินคืนให้โจทก์ จำเลยจึงต้องใช้เงินคืนแก่โจทก์ตามข้อสัญญาที่โจทก์และจำเลยได้ตกลงไว้
       3. บุคคลภายนอกผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ว่าเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้นจะชำระ ความรับผิดของค้ำประกันเป็นความรับผิดในฐานะลูกหนี้ชั้นที่สอง คือจะต้องชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ก็ต่อเมื่อลูกหนี้ตามมูลหนี้ประธานผิดนัดไม่ชำระ ถ้าลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระนั้นแล้วผู้ค้ำประกันตกลงจะเป็นผู้ชำระแทน แต่ทั้งนี้ไม่หมายรวมถึงกรณีที่รับรองว่าลูกหนี้สามารถที่จะชำระหนี้ได้ ซึ่งในกรณีเช่นนั้นไม่ใช่ผู้ค้ำประกันเพราะมิได้ผูกพันตนว่าจะ ชำระแทนให้ ด้วยเหตุที่ความผูกพันของผู้ค้ำประกัน คือชำระหนี้ให้แทน เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ หนี้เป็นประกันนั้นจึงต้องเป็นหนี้ที่บุคคลภายนอกกระทำการชำระหนี้ให้แทนได้ หากเป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องปฏิบัติชำระหนี้ด้วยตนเองจะมีผู้ค้ำประกันไม่ได้ดังกล่าวมาแล้ว
       คำพิพากษาฎีกาที่ 1239/2505 จำเลยขอให้โจทก์ค้ำประกันบุคคลผู้ส่งข้าวไปขายต่างประเทศต่อกระทรวงเศรษฐการ  โดยจำเลยยอมรับผิดต่อโจทก์  ถ้าโจทก์ต้องเสียหายอย่างใดๆ ในการค้ำประกันนั้น  ดังนี้ไม่ถือว่าเป็นสัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680  แต่เป็นสัญญาธรรมดาระหว่างโจทก์จำเลย  เมื่อโจทก์ต้องเสียหายโดยชำระหนี้ค่าข้าวแทนบุคคลนั้นไปโดยสุจริต ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินนั้นได้ภายใน 10 ปีตามมาตรา 164  ไม่ใช่ 5 ปี ตามมาตรา 165
       คำพิพากษาฎีกาที่ 1088/2530 หนังสือสัญญาที่ ร. กับจำเลยทำไว้ให้กับโจทก์ว่า หากโจทก์ได้รับความเสียหายจากการที่โจทก์เข้าค้ำประกันในการที่ ร. จะปฏิบัติตามสัญญาขนส่งไม้สักที่ ร. ทำไว้กับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ร. กับจำเลยจะร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสิ้นนั้น ไม่ใช่สัญญาค้ำประกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 680 แต่เป็นสัญญาธรรมดาซึ่งต้องบังคับตามข้อตกลงในสัญญา จะนำบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับมิได้อายุความฟ้องร้องจึงต้องนำอายุความทั่วไปมาใช้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 164 คือ 10 ปี โดยอายุความฟ้องร้องเริ่มนับแต่วันที่โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ไป
       คำพิพากษาฎีกาที่ 243/2522  ธนาคารโจทก์ได้ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อองค์การสะพานปลายินยอมใช้เงินให้แก่องค์การสะพานปลาในกรณีที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติผิดสัญญาในการนี้จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาไว้แก่ธนาคารโจทก์มีข้อความว่าตามที่ธนาคารโจทก์ได้ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1ไว้กับองค์การสะพานปลานั้น ถ้าองค์การสะพานปลาเรียกร้องให้ธนาคารโจทก์ชำระเงินจำนวนที่ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชอบให้ธนาคารโจทก์ไล่เบี้ยจากจำเลยที่ 2 ได้ในจำนวนเงินที่ชำระไปนั้น เอกสารดังกล่าวมิใช่สัญญาค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 หากแต่เป็นสัญญาชนิดหนึ่งเท่านั้น
       4. การค้ำประกันนั้นเป็นการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับบุคคลภายนอกผู้ค้ำประกัน ดังนั้นไม่จำเป็นที่ลูกหนี้จะต้องรู้เห็นยินยอมในการค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันก็มีผลสมบูรณ์ ผู้ค้ำประกันจะยกเอาการที่ลูกหนี้ไม่ได้ยินยอมนี้เป็นข้อต่อสู้ไม่ได้ หรือหากผู้ค้ำประกันชำระหนี้ไปตามสัญญาค้ำประกันแล้ว การใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับลูกหนี้ ลูกหนี้จะอ้างการที่ตนไม่ได้ยินยอมด้วยในการเข้าทำสัญญาค้ำประกันนั้นไม่ยอมให้ค้ำประกันใช้สิทธิไล่เบี้ยไม่ได้
       คำพิพากษาฎีกาที่ 762/2519 สัญญาค้ำประกันไม่มีข้อความว่าลูกหนี้ยินยอมด้วยเจ้าหนี้ ก็บังคับผู้ค้ำประกันได้
       คำพิพากษาฎีกาที่ 762/2512 การค้ำประกันนั้นหาจำต้องให้ลูกหนี้ยินยอมให้ผู้ค้ำประกันเข้าค้ำประกันหนี้นั้นก่อนไม่ สัญญาค้ำประกันจึงไม่จำต้องมีข้อความว่าลูกหนี้ยินยอมให้ผู้ค้ำประกันแล้ว  (หลักฐานแห่งการค้ำประกันนั้น)
       5. กฎหมายมิได้กำหนดแบบของสัญญาค้ำประกันไว้ มาตรา 680 วรรค 2 บัญญัติไว้เพียง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใด อย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้ บังคับคดีหาได้ไม่หมายความว่ากฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเท่านั้น เพียงแต่ผู้ค้ำประกันลงชื่อ แม้เจ้าหนี้จะไม่ได้ลงชื่อในสัญญานั้นด้วย ก็ฟ้องสามารถร้องบังคับคดีได้
       คำพิพากษาฎีกาที่ 992/2546 หนังสือค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำให้ไว้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ฝ่ายเดียวลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน จึงเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 วรรคสอง เท่านั้น มิใช่หนังสือสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 อันจะถือเป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ตามความมุ่งหมายแห่ง ประมวลรัษฎากรฯ มาตรา 103, 104 และ 118 แต่อย่างใด ดังนั้น แม้หนังสือค้ำประกันดังกล่าวจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
       คำพิพากษาฎีกาที่ 9742/2539 ผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันแก่เจ้าหนี้เป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้ค้ำประกันไว้แล้ว จึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย เจ้าหนี้หาจำต้องลงลายมือชื่อแต่อย่างใดไม่
       คำพิพากษาฎีกาที่ 3847/2541กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ให้ต้องมีข้อความบรรจุอยู่ในเอกสารฉบับเดียวกัน อาจเป็นข้อความที่รวบรวมจากเอกสารหลายฉบับที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกันได้ และหนังสือนั้น ๆ เมื่ออ่านดูแล้วต้องมีข้อความให้พอเข้าใจได้ว่าเป็นการค้ำประกันด้วย ข้อความก็คือ ถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ผู้ค้ำประกันจะต้องชดใช้ให้แทนหรือข้อความใด ๆ ให้เข้าใจได้ตามนี้ จึงจะเข้าลักษณะของสัญญาค้ำประกันการทำสัญญาค้ำประกัน
       คำพิพากษาฎีกาที่ 7103/2539 ข้อความในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีระบุถึงการที่โจทก์ประสงค์จะขอถอนคำร้องทุกข์คดีอาญา เนื่องจากไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 อีกต่อไป เพราะตกลงกันได้โดยจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คพิพาท 3 ฉบับ สั่งจ่ายเงินรวม 410,000 บาท เพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และมีจำเลยที่ 2 ยืนยันว่าหากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสามฉบับ จำเลยที่ 2 ยินยอมรับชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งให้แก่โจทก์นั้น ย่อมแสดงให้เข้าใจได้ชัดเจนว่าถ้าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยที่ 2 จะยอมชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์นั่นเอง ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ลงลายมือชื่อท้ายเอกสารดังกล่าวในช่องที่ระบุว่าผู้ค้ำประกัน รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานเป็นหนังสือที่จำเลยที่ 2 ยอมตนเข้าค้ำประกันการชำระเงินตามเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกัน
       ค้ำประกัน คือ สัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้ค้ำประกันสัญญาว่าจะชำระหนี้ ให้แก่เจ้าหนี้ถ้าหากลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ หนี้ที่ค้ำประกันนี้จะเป็นหนี้อะไรก็ได้ทั้งสิ้น เช่น หนี้เงินกู้, หนี้ค่าสินค้า, หนี้การก่อสร้าง เป็นต้นหลักเกณฑ์ในการทำสัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันต้องทำตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อไปนี้
       1. ต้องทำหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ
       2. ต้องลงลายมือชื่อของผู้ค้ำประกัน จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีให้ผู้ค้ำประกันรับ ผิดตามสัญญาค้ำประกันได้ หากไม่ได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันแล้วก็จะไม่ ได้ประโยชน์เพราะไม่สามารถฟ้องบังคับผู้ค้ำประกันได้
       ชนิดของสัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
       1. สัญญาค้ำประกันอย่างไม่จำกัดจำนวนกล่าวคือ ลูกหนี้ต้องรับผิดชดใช้หนี้ให้ แก่เจ้าหนี้เป็นจำนวนเท่าใด ผู้ค้ำประกันก็ต้องชดใช้ให้แก่เจ้าหนี้ในจำนวนเท่ากันกับ ลูกหนี้ด้วย คือ ต้องรับผิดในต้นเงิน ดอกเบี้ย ค่าเสียหายในการผิดนัดชำระหนี้ ค่าภาระ ติดพัน ตลอดจนค่าธรรมเนียมในการฟ้องร้องบังคับคดีด้วย
       2. สัญญาค้ำประกันจำกัดความรับผิดกล่าวคือ ผู้ค้ำประกันได้ระบุจำนวนไว้ว่า จะรับผิด ไม่เกินจำนวนตามที่ได้ระบุไว้เท่านั้น ดังนั้น หากลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้แล้ว ผู้ค้ำประกันก็จะใช้หนี้ดังกล่าวแทนลูกหนี้เฉพาะเท่าจำนวนที่ตนระบุไว้เท่านั้น
        ข้อปฏิบัติในการเข้าทำสัญญาค้ำประกัน ผู้ใดจะเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในการชำระหนี้ของบุคคลอื่นนั้น ควรปฏิบัติดังนี้
       1. อ่านสัญญาค้ำประกันให้ครบถ้วนทุกข้อก่อนลงชื่อในสัญญาค้ำประกัน
       2. หากประสงค์ที่จะค้ำประกันหนี้เพียงบางส่วน ก็ให้เขียนระบุไว้โดยแจ้งชัด ในสัญญาค้ำประกันว่าประสงค์ที่จะค้ำประกันเป็นจำนวนเท่าใด
       3. หากไม่ประสงค์ที่จะรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้ในฐานะลูกหนี้ร่วมกันแล้ว ก็ต้อง ดูในสัญญาว่ามีข้อความที่ระบุว่าให้ตนรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้หรือไม่ถ้าไม่มีจึงค่อย ลงชื่อในสัญญาค้ำประกัน
ถ้าผู้ค้ำประกันชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้ว ผู้ค้ำประกันมีสิทธิอย่างไร ถ้าผู้ค้ำ ประกันได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้ว ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาคืนจากลูกหนี้เท่าจำนวนที่ ตนได้ชดใช้แทนลูกหนี้ไปแล้ว
ในกรณีดังต่อไปนี้ผู้ค้ำประกันย่อมพ้นจากความรับผิด ไม่ต้องชำระหนี้ให้แก่ เจ้าหนี้
       1. ถ้าหนี้ที่ตนค้ำประกันนั้นได้กำหนดวันชำระหนี้ไว้แน่นอนแล้ว ต่อมาเจ้าหนี้ ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้แล้ว ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด
       2. เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว ผู้ค้ำประกันขอชำระหนี้แทนลูกหนี้ ถ้าเจ้าหนี้ไม่ ยอมรับชำระหนี้ผู้ค้ำประกันก็เป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด

สัญญาจำนอง
       คือ สัญญาซึ่ง ผู้จำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจำนอง เป็นการประกันการชำระหนี้โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง โดยผู้จำนองต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่จำนอง และการจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งทรัพย์สินที่จำนองได้ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และ สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษการจำนองจะระงับไปด้วยเหตุ ดังต่อไปนี้ 
       1. เมื่อหนี้ที่ประกันระงับสิ้นไป ด้วยเหตุประการอื่นใดมิใช่เหตุ อายุความ
       2. เมื่อปลดจำนองให้แก่ผู้จำนองด้วยหนังสือเป็นสำคัญ
3. เมื่อผู้จำนองหลุดพ้น
       4. เมื่อถอนจำนอง
       5. เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองตามคำสั่งศาล อันเนื่อง มาแต่การบังคับจำนองหรือถอนจำนอง
       6. เมื่อเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้นหลุด

สัญญาจำนำ
คือ สัญญาซึ่งผู้จำนำ ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่ผู้รับจำนำ เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ โดยจะทำด้วยวาจาหรือทำเป็นหนังสือก็ได้ และผู้จำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินเสมอการจำนำย่อมระงับสิ้นไปด้วยเหตุดังต่อไปนี้
1. เมื่อหนี้ซึ่งจำนำเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ หรือ
2. เมื่อผู้รับจำนำยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของผู้จำนำ

กฎหมายครอบครัว(มรดก)
      กฎหมายครอบครัว
ถ้าพูดถึงเรื่องกฎหมายครอบครัวมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน เพราะคนเราเกิดมาก็ต้องมีครอบครัวหรือมีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวกันหมดทุกคน เช่น คนเราเกิดมาก็ต้องมีพ่อแม่ , มีการสมรส , มีการหมั้น , มีการรับรองบุตร , มีการทำพินัยกรรม ,มีการจัดการมรดก , การปกครองบุตร , ทรัพย์สินระหว่างสามีและภรรยา ฯลฯ
ดังนั้นเราจึงควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวไว้บ้าง ถ้าเกิดมีปัญหาจะได้แก้ไขได้ถูก ยกตัวอย่างเรื่องของ มรดก  มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่างๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ (มาตรา 1599* เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวล กฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น  และมาตรา 1600* ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ )
มีคนถามว่า มรดกจะตกทอดแก่ทายาทเมื่อใด มรดกจะตกถึงทายาท เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย กองมรดกของเจ้าของมรดกจะตกทอดกับทายาทโดย สิทธิตามกฎหมาย หรือโดยพินัยกรรม
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้แบ่งทายาทออกเป็น 2 ประเภท กล่าวคือ ทายาทโดยธรรมซึ่งเป็นทายาทที่มีสิทธิ์ตามกฎหมาย
บุคคลที่จะเป็นทายาทซึ่งมีสิทธิได้รับมรดกนั้น ถ้าเป็นทายาทโดยธรรมต้องเป็นบุคคลธรรมดา และบุคคลธรรมดาที่จะเป็นทายาทได้ต้องมีสภาพบุคคล ซึ่งสภาพบุคคลนี้ย่อมเริ่มมีขึ้นตั้งแต่เมื่อบุคคลนั้นได้คลอดออกมาแล้วอยู่รอดเป็นทารก ทายาทโดยธรรมซึ่งมีสิทธิได้รับมรดก ได้แก่
1. ผู้สืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน ลื้อ
2. บิดามารดา
3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
4. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน
5. ปู่ ย่า ตา ยาย
6. ลุง ป้า น้า อา
7. คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งการแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างทายาทโดยธรรมจะต้องมีการลำดับและชั้นต่าง ๆ 
ส่วนประเภทที่ 2 ทายาทโดยพินัยกรรม คือ ผู้ที่มีสิทธิได้รับมรดกเพราะพินัยกรรมกำหนดไว้ ซึ่งอาจจะเป็นทายาทโดยธรรมหรือบุคคลภายนอกก็ได้       
(ตาม มาตรา 1603 กองมรดกย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิทธิตาม กฎหมายหรือโดยพินัยกรรม ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย เรียกว่า "ทายาทโดยธรรม" ทายาทที่มีสิทธิตามพินัยกรรม เรียกว่า "ผู้รับพินัยกรรม")
เมื่อเจ้ามรดกตายลงไป บรรดาลูกๆ สามีหรือภริยาของเจ้ามรดก และอาจรวมถึงเครือญาติของเจ้ามรดกต่างคาดคิดว่าจะให้ผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดกกันดี  แต่ควรที่จะประชุมทายาทโดยธรรมกันก่อน ว่าจะให้ใครเป็นผู้จัดการมรดก และคนที่มีสติหรือมีจิตฟั่นเฟือน วิกลจริต ไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้
ทั้งนี้ผู้จัดการมรดกจะทำอะไรโดยพลการไม่ได้ และจะเอาแต่ใจตนเองก็ไม่ได้ และการร้องขอต่อศาลเพื่อจะตั้งใครเป็นผู้จัดการมรดก จะไม่ต้องถูกคัดค้านจากบรรดาทายาท
อีกทั้งหน้าที่ของผู้จัดการมรดกมีหน้าที่อย่างไรบ้างตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยบัญญัติไว้มีดังนี้
1. การจัดทำบัญชีทรัพย์ ตาม มาตรา 1714
2. การจัดการงานศพของเจ้ามรดก ตาม มาตรา 1649
3. การสืบหาตัวผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก ตาม มาตรา 1725
4. การเรียกเก็บหนี้สินของกองมรดก ตาม มาตรา 1736 วรรคท้าย
5. การส่งเงินและทรัพย์สินเข้ากองมรดก ตาม มาตรา 1720
6. การแถลงความเป็นไปในการจัดการมรดกแก่ทายาท ตาม มาตรา 1720 + 809 + 1732
7. ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ทายาทสั่งหรือศาลสั่ง ตาม มาตรา 1730 + 1597
8. การแจ้งหนี้สินระหว่างผู้จัดการมรดกกับกองมรดก ตาม มาตรา 1730 + 1596
9. ทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการมรดก ตาม มาตรา 1732

มรดกและการทำพินัยกรรม

มรดก หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบต่างๆ เช่นสิทธิตามสัญญาซื้อขาย สิทธิในการไถ่ถอนการขายฝาก เป็นต้น เมื่อบุคคลได้ถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินทุกอย่าง รวมทั้งที่มีในขณะนั้นถือว่าเป็นมรดกของบุคคลนั้นที่จะตกทอดไปยังลูกหลานหรือญาติสนิทที่เป็นทายาท เว้นแต่สิทธิบางอย่างซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัว ถือว่าสิทธินั้นเป็นอันสิ้นไปเมื่อบุคคลนั้นได้ตายไป ไม่ถือว่าเป็นมรดก
ทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรม
ทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรม คือ ผู้ที่มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้
1. ทายาทโดยธรรม หรือเรียกว่าทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ที่มีความผูกพันกับผู้ตายโดยความเป็นญาติหรือคู่สมรสหรือเป็นบุตร ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ 6 ลำดับ ได้แก่
1) ผู้สืบสันดาน ได้แก่ บุตร บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว และบุตรบุญธรรม
2) บิดามารดา
3) พี่น้องร่วมบิดามารดา
4) พี่น้องร่วมแต่บิดา หรือมารดา
5) ปู่ ย่า ตา ยาย
6) ลุง ป้า น้า อา
2. ผู้รับพินัยกรรม หมายถึง ผู้ที่มีชื่อปรากฎในพินัยกรรมที่เจ้าของมรดกมีเจตนายกทรัพย์ให้ ในกรณีที่ผู้ตายประสงค์ที่จะให้ญาติของตนแต่ละคนได้รับมรดกในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน หรือต้องการให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ญาติมามีส่วนรับมรดกของตน หรือไม่ต้องการให้ญาติของตนคนใดมารับมรดกของตัวเอง ทำได้โดยการทำพินัยกรรมระบุไว้ว่าจะยกทรัพย์สินใดให้แก่ใครบ้าง เป็นจำนวนเท่าไร ซึ่งผู้รับมรดกตามพินัยกรรมนี้ เรียกว่า ผู้รับพินัยกรรม ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือเป็นวัด มูลนิธิ หรือโรงพยาบาลก็ได้
การทำพินัยกรรม 
ในการทำพินัยกรรม จะต้องเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นหนังสือพินัยกรรม ซึ่งมีแบบพิธีในการทำ 3 แบบดังนี้
1. พินัยกรรมธรรมดา เป็นหนังสือพินัยกรรมที่ลง วัน เดือน ปี ทีทำมีพยานรับรอง 2 คน และผู้ทำพินัยกรรมต้องลงชื่อไว้ด้วย ถ้าลงเขียนหนังสือไม่ได้ให้ประทับตราหัวแม่มือขวาลงในพินัยกรรมแทนการลงชื่อ
2. พินัยกรรมเขียนเอง ผู้ทำพินัยกรรมต้องเขียนด้วยลายมือตัวเองทั้งฉบับ แล้วลงชื่อ และวันเดือนปี ที่ทำพินัยกรรมด้วย
3. พินัยกรรมทำที่อำเภอ ผู้ทำพินัยกรรมต้องไปหานายอำเภอ หรือผู้อำนวยการเขตให้ทำพินัยกรรมให้ และต้องลงชื่อไว้ในพินัยกรรมนั้นด้วยพร้อมพยานอีก 2 คนในการพินัยกรรมไม่ว่าจะเป็นแบบใดนั้น ผู้ทำพินัยกรรมจะสามารถยกเลิกเมื่อใดก็ได้ และพินัยกรรมจะมีผลใช้บังคับก็ต่อเมื่อผู้ทำพินัยกรรมได้ถึงแก่ความตายไปแล้วเท่านั้น







บรรณานุกรม

โกเมศ ขวัญเมือง.  ปีที่พิมพ์ :   (2549). การศึกษาแนวใหม่ : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย
ทั่วไป.  วันที่ค้นหาข้อมูล  7/02/57 , เว็บไซด์  http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php/
สมยศ เชื้อไทย.  ปีที่พิมพ์ :  (2553). คำอธิบายวิชากฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 16.
กรุงเทพฯ : วิญญูชน.
ไพจิตร ปุญญพันธุ์.  ปีที่พิมพ์ :   (2540, กรกฎาคม-กันยายน) หลักกฎหมายทั่วไป”.วันที่ค้นหา
ข้อมูล   7/02/57  เว็บไซด์ http://life.cpru.ac.th/E%20leaning/03%20Humanrights/
ปีที่พิมพ์  2550.  ร่างรัฐธรรมนุญ  แห่งราชอาณาจักรไทย  : พิมพ์ที่ : สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.
ศาสตราจารย์จิตติ  ติงศภัทิย์   ปีที่พิมพ์ :  พฤษภาคม  2552.  การใช้การตีความกฎหมาย  ครั้งที่
พิมพ์ :  2   พิมพ์ที่ :  โรงพิมพ์เดือนตุลา
ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : นาน
มีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์.
ศาสตราจารย์จิตติ  ติงศภัทิย์  2552  ความรู้เบื้งต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป  วันที่ค้นหา
ข้อมูล  8/02/57  เว็บไซด์  http://e-book.ram.edu/e-book/inside/html/dlbook.asp?code=LW104(49)
ปรีดี เกษมทรัพย์. (2526). กฎหมายแพ่ง : หลักทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ภาพพิมพ์
หยุด แสงอุทัย. (2552). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 17. กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มานิตย์ จุมปา, บรรณาธิการ. (2555). ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย. พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

***************************************************************************
อย่าลืมกดติดตาม  แชร์คอมเม้นมาด้วยน่ะค่ะ 
----------------------------------------------------------------
เปลียนฟร้อนตัวเลขก้อเป็นอาราบิคค่ะ
***************************************************************************

สถิติวิศวกรรม การสุ่มตัวอย่างและการแจกแจงตัวอย่าง ในกรณีที่ประชากรซึ่งสนใจศึกษามีขอบเขตกว้างขวางหรือมีจำนวนมากหรือการกระจายของ...